บทที่๔

1232 Words
บทที่๔ “วันนี้คนข้างบ้านคุณออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะ ยินดีด้วย” อัญมณีคิดว่าประโยคนี้ไม่ได้มีความหมายว่ายินดีตามที่เอ่ย แต่เหมือนมีอะไรแฝงอยู่เพราะสายตาเขาไม่ได้ยินดีไปด้วย ไม่ว่าจะพบเจอกันโดยบังเอิญหรือตั้งใจเขาก็ยังมองหล่อนเช่นนี้เสมอ จนบางครั้งบางคราอยากจะถามตรงๆ เลยว่ามีปัญหาอะไรกับหล่อนหรือเปล่า แต่คำตอบก็รู้อยู่แก่ใจว่าคือเรื่องเข้าใจผิดเดิมๆ เขายังปักใจเชื่อว่าหล่อนคือนักเขียนลึกลับที่เป็นต้นเหตุให้พี่สาวถูกพี่เขยฆ่าตาย หลานสาวต้องเป็นกำพร้า และจำเพาะเวลาเขาเข้ามาดูอาการสวิชเพราะเป็นหมอเจ้าของไข้ ก็เห็นหล่อนนั่งอ่านต้นฉบับอยู่พอดี ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของตนเองทำให้เขามองหล่อนเป็นศัตรูคู่อาฆาตไปโดยปริยาย ดีที่ว่าเขาทำแค่เสียดสีด้วยคำพูดและสายตาทิ่มแทงเท่านั้น “คุณนับเป็นเพื่อนบ้านที่ดีนะ งานตัวเองก็ยุ่งยังอุตส่าห์มานอนเฝ้าคนข้างบ้านอีก” เขาเน้นคำว่าคนข้างบ้านพร้อมรอยยิ้มหยัน จนอัญมณีอยากพุ่งไปตบปากให้รอยยิ้มนั้นปลิวหาย แต่คนที่น่าเคืองและน้อยใจมากที่สุดคงเป็นสวิช หากวันนั้นสวิชไม่แนะนำว่าเป็นน้องสาวข้างบ้าน เขาก็คงไม่มายิ้มล้อขนาดนี้ หล่อนไม่เข้าใจสวิชเหมือนกันว่าทำไมต้องแนะนำเช่นนั้น บอกว่าหล่อนเป็นคู่หมั้น เป็นคนสนิท หรือเป็นคนรู้ใจก็ยังดีกว่าบอกว่าเป็นคนข้างบ้าน ถึงบ้านจะติดกันก็เถอะ ชลทิศจ่ายค่าข้าวให้เมื่อคนขายยื่นจานข้าวราดแกงให้อัญมณี แล้วสั่งอีกจานที่เหมือนกัน หล่อนยื่นเงินให้เขาแต่เขาไม่รับ “งั้นฉันไม่กิน” “ซื้อมาแล้วเสียของน่า เล็กๆ น้อยๆ รับน้ำใจผมเถอะ” เขาบอก แล้วยังดึงแขนเสื้อหล่อนพลางโบ้ยใบ้ไปที่โต๊ะว่าง อัญมณีอยากบอกว่าฉันไม่อยากร่วมโต๊ะก็ไม่ทันพูด เพราะเขาพูดขึ้นมาเสียก่อน “งั้นเอางี้นะ ผมจ่ายค่าข้าวแล้ว คุณเลี้ยงน้ำก็แล้วกัน ผมเอากาแฟร้านโน้นนะ” อัญมณีมองตามไปแล้วหันขวับมามองหน้าเขา ก็ร้านที่เขาชี้ไปนั้นคือร้านกาแฟค่อนข้างมีชื่อเสียง แน่นอนว่าราคาย่อมแพงกว่าข้าวราดแกงที่เขาจ่ายเงินให้ “อะไรคุณ แค่นี้งกหรือ ขายหนังสือได้ตั้งเท่าไหร่ เลี้ยงผมหน่อยเถอะ ถือเป็นการคืนกำไรให้ลูกค้าไง ถึงผมไม่ได้อ่านเอง แต่พี่สาวผมก็อ่านมาเยอะ เสียเงินมาเยอะ ไปเร็วๆ ผมเอากาแฟดำเย็นนะ สั่งให้ด้วย เรียกไม่เป็นหรอก” เขาแย่งจานข้าวหล่อนไปวางบนโต๊ะตรงข้ามจานข้าวเขาแล้วนั่งลง อัญมณีจำใจต้องเดินไปซื้อกาแฟราคาแพงมาให้เขา หล่อนวางตรงหน้าเขาแต่ไม่ยอมนั่ง ชลทิศทำเหมือนรู้ทันจึงรีบบอก “นั่งก่อนสิคุณ กินข้าวก่อน ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” “เรื่องอะไร ฉันคิดว่าเราไม่น่ามีเรื่องคุยกันนะ” “มีสิ เรื่องคนที่ยิงตัวตายในบ้านร้างไง คุณจำได้ไหม” “ที่คุณว่ามีเงื่อนงำนะหรือ” หล่อนนั่งลงทันทีเพราะยังคาใจเรื่องนี้อยู่ ซ้ำรอตำรวจแถลงข่าวก็ไม่มีความคืบหน้า “ครับ กินข้าวก่อนค่อยคุยนะ ผมหิวออกไปทำงานทั้งคืน เดี๋ยวก็ต้องตรวจคนไข้อีก” เขาบอกแล้วลงมือกินข้าวทันที อัญมณีอยากบอกว่าไม่ถามหรือว่าหล่อนมีเวลามากน้อยแค่ไหนที่ต้องรอเขากินอิ่มก่อนทั้งเขายังหันมาเร่งให้กินอีกครั้ง แต่พอหล่อนตักข้าวเข้าปากคำแรกเขาก็พูดขึ้น “เมื่อคืนถ้าคุณไม่นอนเฝ้าคนข้างบ้านก็คงได้ไปถ่ายรูปคนตาย รายนี้ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าฆาตกรรมแน่นอน” “ที่ไหนคะ” เรื่องงานหล่อนสนใจขึ้นมาทันที แม้จะเคืองคำเรียกประชดประชันนั้นอยู่บ้าง “บ้านร้างหลังเดิม” “ที่คนยิงตัวตายนะหรือคะ” เขาพยักหน้าแล้วตักข้าวกินต่อเงียบๆ เหมือนต้องการประวิงเวลาให้คนอยากรู้อกแตกตาย แต่อัญมณีรู้ทันเขาและเก็บความอยากรู้ได้ดี หล่อนกินข้าวรอเขาเรื่อยๆ จนต่างคนต่างกินหมดจาน “ขอเบอร์โทรศัพท์หน่อยคุณ เดี๋ยวส่งรูปเมื่อคืนให้ดูทางไลน์” เขาบอกเหตุผลมาเสร็จสรรพ อัญมณีจึงไม่มีข้อสงสัย หล่อนรีบบอกเขาไปทันทีเพราะอยากเห็นรูปที่ว่า “คุณว่าแปลกมั้ย บ้านหลังนั้นมันมีอะไรทำไมคนถึงชอบไปฆ่าตัวตาย” “อ้าว ทีแรกคุณบอกฆาตกรรม” หล่อนเริ่มสับสน “ผมมั่นใจว่าฆาตกรรมเพราะมีข้อสงสัยหลายจุด แต่ดูผิวเผินก็เหมือนฆ่าตัวตายเอง คุณดูรายนี้นะเหมือนคนผูกคอตายแต่จากสภาพศพที่ตรวจละเอียด ไม่ได้ตายเพราะขาดอากาศหายใจเหมือนคนผูกคอตายทั่วไป แต่คอหักตาย มีรอยช้ำที่ท้ายทอยถ้าไม่แหวกผมดูก็ไม่เห็น” “ศพถูกอำพรางด้วยการนำมาแขวนไว้ ให้คนคิดว่าผูกคอตายหรือคะ” “น่าจะอย่างนั้น” “ไม่มีรอยนิ้วมือแปลกปลอมหรือคะ” หล่อนนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา “ไม่มีเลย คนร้ายเตรียมตัวมาดีมาก และทำให้ผมนึกถึงคนที่ยิงตัวตายนั่น นั่นก็ไม่มีลายนิ้วมือคนอื่นในที่เกิดเหตุเลย” “หมายถึงสวมถุงมือก่อนลงมือ” หล่อนฉุกคิด และพานนึกถึงต้นฉบับของสวิชที่กำลังอ่านค้างอยู่ “ก็คงเป็นอย่างนั้น ตำรวจจึงคิดว่าเกี่ยวข้องกับศพเมื่อคืน อาจเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ลงมือกับคนเร่ร่อน เหมือนหนังฝรั่งหลายๆ เรื่อง” เขาพูดแล้วหยุดมองหน้าหล่อน การมองนิ่งแบบตั้งใจทำให้อัญมณีอึดอัดและไม่กล้าสู้ตา แต่เพราะคำพูดต่อมาของเขาทำให้หล่อนจ้องตาเขาอย่างขุ่นเคือง “คุณเคยเขียนนิยายแนวนี้หรือเปล่า” “เอ๊ะ! คุณ ทำไมบอกไม่เชื่อ ฉันไม่ใช่นักเขียน ไม่ใช่อัญมณีคนนั้น เข้าใจมั้ย” “ไม่เข้าใจ ทำไมต้องปกปิด สมัยนี้นักเขียนดังๆ เค้าออกสื่อกันโครมๆ ทำไมคุณไม่ทำบ้างเผื่อจะได้มีแฟนคลับสาวๆ เพิ่มขึ้นอีก” “ฉันก็ไม่เข้าใจ ทำไมคุณถึงเข้าใจอะไรยากเย็นนัก บอกว่าฉันไม่ใช่นักเขียน ฉันเป็นช่างภาพ” หล่อนทุบโต๊ะดังปังก่อนลุกหนี ใจจริงอยากทุบหัวเขาเลยด้วยซ้ำที่ไม่ยอมเชื่อแล้วยังทำให้หล่อนตกเป็นเป้าสายตาเพราะเสียงทุบโต๊ะ “เดี๋ยวสิคุณ เอาจานข้าวไปเก็บด้วย” เขาเรียกหล่อนหน้าตาเฉย แล้วลุกขึ้นหยิบจานตัวเองเดินจากไป อัญมณีอยากจะกรีดเสียงใส่หน้าผู้ชายอะไรทำตัวน่าถีบเช่นนี้ บางทีก็ดูเป็นสุภาพบุรุษ บางทีก็กวนตีน แต่อย่างหลังคงมากและทำบ่อยกว่า อัญมณีจำต้องเดินกลับไปหยิบจานข้าวและแก้วกาแฟไปเก็บยังชั้นวางโดยเดินก้มหน้าผ่านสายตาตำหนิหลายคู่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD