บทที่๑
บทที่๑
‘อัญมณี’
ทุกสายตาในศาลาสวดอภิธรรมต่างหันไปมองชื่อเจ้าของพวงหรีดที่กำลังถูกแขวนด้วยมือคล้ำของใครคนหนึ่งซึ่งเป็นคนช่วยจัดการในงานพวงดอกไม้ราคาแพงสีขาวบริสุทธิ์ไม่ได้สะดุดตาเท่าชื่อที่ติดไว้ ทุกคนต่างหันไปมองนอกศาลาเพื่อหาเจ้าของพวงหรีด
หญิงสาวรูปร่างโปร่งค่อนไปทางผอมในชุดเสื้อแขนยาวกระโปรงคลุมเข่าสีดำรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาจึงเดินช้าลง กวาดตามองอย่างหวาดระแวง แล้วสำรวจตนเองอีกรอบบางทีการอยู่ในชุดสุภาพสำหรับงานศพอาจทำให้หล่อนดูแปลกไปกว่าทุกวัน และยิ่งไม่รู้จักใครในงานนี้เลยยิ่งตกประหม่าจนอยากหันหลังกลับ
“มานี่ มางานนี้ด้วยหรือ” เจ้าของคำถามเดินมาหา
ตั้มเป็นชายหนุ่มวัยใกล้สามสิบหน้าตาคมเข้มด้วยหนวดและเคราบางๆ เป็นเพื่อนร่วมงานของมานี่หรือนางสาวอัญมณี เจริญยิ่งณรงค์ หล่อนแทบจะกระโดดกอดดีใจที่อย่างน้อยเจอคนรู้จักตั้งหนึ่งคนแล้ว
อัญมณีพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ
“ญาติหรือคนรู้จัก”ตั้มถามต่อ แต่หล่อนส่ายหน้าช้าๆ แล้วอ้อมแอ้มบอก
“ไม่ใช่ทั้งสอง”
“อ้าว! แล้วมาทำไม”
“มาแทนพี่”
“เรามีพี่ด้วย” ตั้มพูดด้วยเสียงอันดัง ทำให้คนทั้งศาลาแทบหันมามองเป็นตาเดียว
“พูดเบาๆ ก็ได้ ไม่ใช่พี่แท้ๆ หรอก เรียกว่าคนนับถือกันนะ”
“ก็เห็นใช้ชื่อตัวเองบนพวงหรีด เลยแปลกใจน่ะ”ตั้มสงสัย
“เอ่อ ไมใช่ชื่อนี่ นั่นมันนามปากกาของพี่ที่นับถือไง”
คนนับถือกัน หล่อนอยากค้อนให้คำพูดนี้ของตัวเอง คนนับถือกันที่ว่าขอร้องแกมบังคับให้หล่อนนำพวงหรีดมาแสดงความเสียใจอาลัยคนตาย ทั้งที่หล่อนไม่รู้จัก
บ้าไปกันใหญ่แล้ว แต่หล่อนก็ต้องทำตามสั่ง ดูเหมือนว่าไม่เคยขัดใจ ขัดคำสั่งได้เลย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ หล่อนก็ไม่เข้าใจตนเอง
“อ๋อ นักเขียนามปากกาอัญมณีหรือ เคยไดยินชื่ออยู่นะ ไหนๆ ก็มาแล้วไปเคารพศพกัน”
ตั้มชวนเหมือนเป็นเจ้าภาพเสียเอง ตั้มบอกว่าถึงเขาไม่ใช่เจ้าภาพหรือญาติของคนตาย แต่ก็สนิทสนมกับน้องชายคนตายดีเพราะเจอกันตอนทำงานบ่อยๆระหว่างเดินตามตั้มเข้าไปในศาลา อัญมณีรู้สึกถึงสายตาจับจ้องบอกถึงความไม่เป็นมิตรจนเสียวสันหลัง ทั้งที่ตนเองไม่รู้จักทั้งคนเป็นและคนตายในงานเลย แต่หล่อนก็รู้ว่ามีคนจ้องมองตั้งแต่ส่งพวงหรีดให้คณะเจ้าภาพนำไปวางแล้ว
หรือคนพวกนี้อาจสงสัยว่าหล่อนคือเจ้าของพวงหรีด? ดันชื่อเดียวกันเสียนี่
‘ทำไมใช้นามปากกาอัญมณีคะ’
‘พี่ชอบชื่อมานี่ไง เลอค่าง่ายแก่การจดจำ’
‘ชื่อโหลๆ นี่นะ’
‘ชื่อโหล แต่นามปากกาไม่มีทางโหล เพราะนักเขียนเขาไม่ใช้ซ้ำกันอยู่แล้ว’
อัญมณีคุกเข่าลงเบื้องหน้าโลงศพ ตรงนั้นมีเด็กหญิงวัยรุ่นที่ตาแดงก่ำและช้ำบวมเป่งเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก คอยจุดธูปส่งให้คนที่มาไหว้ศพ เด็กสาวส่งธูปที่จุดแล้วมาให้รวดเร็วแทบจะทิ่มหน้าทิ่มตา ถ้าหากตั้มไม่ยื่นมือไปรับไว้แทน หล่อนคิดว่าตัวเองตาไม่ฝาดที่เห็นแววตาอาฆาตของเด็กคนนี้ แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที
“ขอบคุณนะ” หล่อนพูดกับตั้ม ขอบคุณที่เขาช่วยไม่ให้ธูปปลายแดงๆ ทิ่มหน้าตาให้เกิดเป็นแผลพุพอง อัญมณีมั่นใจว่าเด็กสาวจงใจ เพราะไม่ปริปากสักคำไม่ว่าจะเป็นคำขอโทษหรือขอบคุณเมื่อหล่อนยื่นซองช่วยงานให้
“คุณอัญมณีฝากมาแสดงความเสียใจด้วยนะคะ” หล่อนพูดตามที่ถูกสั่งมา หลังจากตั้มแนะนำว่าเด็กสาวผู้นี้คือลูกสาวของคนตาย
เด็กสาวพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ ซึ่งอัญมณีรู้สึกขัดตาขัดใจมาก เหมือนไม่มีใครอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาท ทั้งที่อายุอานามขนาดนี้โรงเรียนต้องสอนมาแล้ว เด็กสาวรับซองเงินแล้วเดินไปหาชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีที่ต้อนรับแขกอยู่หน้าศาลาแล้วยื่นซองให้พลางชี้กลับมา
ตั้มยิ้มแล้วพยักหน้าให้ชายดังกล่าวที่กระทำตอบลักษณะเดียวกัน แต่หล่อนรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นจ้องไม่วางตาจนทำหน้าไม่ถูก จะยิ้มให้เขาก็ไม่ได้รู้จักหรือแสดงการทักทายหล่อน จะบึ้งก็ไม่มีเหตุอันควร อัญมณีจึงหันไปมองตั้มแทน
“กลับดีกว่า”หล่อนเปรย เพราะรู้สึกว่าคนที่นี่ไม่ต้อนรับ
“อ้าว ทำไมรีบ ไม่รอฟังสวดก่อนหรือ”
“ไม่ไหว นี่รู้สึกว่ามีคนมองแปลกๆ”
“คิดมาก คนกำลังโศกเศร้าก็หน้าบึ้งหน้านิ่งเป็นธรรมดา ไปนั่งด้วยกันเถอะเดี๋ยวกลับพร้อมกันผมไปส่งเอง”
ตั้มแตะแขนพาเดินไปหาที่นั่ง อัญมณียอมตามไปนั่งแต่ยังมีข้อสงสัย
“เอารถยนต์มาหรือคะ”
หากตั้มใช้รถจักรยานยนต์ตามปกติคงไม่ชวน เหมือนตัวหล่อนเองก็ใช้จักรยานยนต์เพราะความชอบส่วนตัวและความสะดวกในการเดินทางฝ่าการจราจรที่รถราติดขัด หล่อนรู้สึกว่ารถราบ้านเรามีมากขึ้นทุกวัน แม้ไม่ใช่เมืองหลวงยังติดขนาดนี้ ป่านนี้ไม่รู้คนในกรุงเทพฯ จะเผชิญกับรถติดขนาดไหน
“ไม่ได้เอารถอะไรมาเลย”คนอาสาไปส่งบอกหน้าตาเฉย
“อ้าว แล้วบอกจะไปส่ง”
“แล้วมานี่เอารถอะไรมา ผมนั่งไปเป็นเพื่อนไง แล้วค่อยต่อรถกลับบ้าน”
“อ๋อ นี่คือการไปส่งหรือคะ” หล่อนอดขันไม่ได้
“แต่นี่ก็ไม่ได้เอารถมาเหมือนกัน พี่วิชแวะมาส่งแล้วเลยไปหาเพื่อนค่อยกลับมารับค่ะ”
“งั้นผมก็ขอติดรถไปด้วย คงไม่เป็นเอบีซีนะ”
หล่อนขันคำพูดของตั้มจนเผลอยิ้มออกมา
พี่วิชที่เอ่ยถึงคือสวิช สุสวิชคู่หมั้นสุดหล่อ ที่นานๆ จะไปไหนมาไหนด้วยกันทีเพราะต่างมีงานที่แตกต่างกัน อัญมณีเริ่มงานเป็นผู้ช่วยช่างภาพของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องหนึ่ง ส่วนตั้มเป็นนักข่าวที่มักออกมาทำข่าวด้วยกันบ่อยๆ จึงสนิทสนมกันพอสมควร และตั้มเป็นคนเดียวที่รู้ว่าสวิชเป็นคนคุ้นเคยของหล่อนแต่ไม่รู้ว่าถึงขนาดหมั้นหมายกันแล้ว เพราะหล่อนไม่ชอบใส่แหวนหมั้นหรือไม่เคยใส่เลยหลังจากวันหมั้นก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่สนใจและใส่ใจจำ
อัญมณีใช้แค่ว่าคนคุ้นเคยทั้งที่เป็นคู่หมั้นกันมานาน เพราะครอบครัวหรือจะเรียกว่าบรรพบุรุษของทั้งคู่เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมยิ่งกว่าญาติ เรือกสวนไร่นาติดกันจากอดีตแปรเปลี่ยนเป็นตึกรามบ้านช่องที่อยู่อาศัยก็รั้วชิดติดกันเช่นเดิมเมื่อมีลูกก็อยากเกี่ยวดองกัน แต่เหมือนมีกรรมหรือโชคชะตาไม่เข้าข้างในรุ่นลูกเพราะต่างก็มีแต่ลูกสาว กรรมจึงมาตกหนักที่รุ่นหล่อนเองที่ต่างเป็นหลานสาวและหลานชายคนแรก
ฝ่ายสวิชนั้นเป็นหลานชายคนแรกและเป็นหลานคนเดียวของตระกูลยิ่งทำให้ผู้ใหญ่ฝ่ายหล่อนอยากได้มาเป็นเขยขวัญ เพราะเล็งเห็นแล้วว่ามรดกตกทอดทั้งหลายจะเป็นของสวิชเพียงผู้เดียว แล้วหล่อนที่จะแต่งงานกับเขาก็จะสบายไปด้วยแต่ใช่ว่าหล่อนจะสิ้นไร้ไม้ตอกหรือไม่มีมรดกตกทอด หล่อนก็มีทรัพย์สมบัติของปู่ย่าตายายที่ให้ไว้มากพอสมควร และยังมีญาติน้อยทรัพย์สินไม่ถูกแบ่งแยกไปมากนักจึงเรียกได้ว่ามรดกส่วนใหญ่จะตกเป็นของหล่อน มากพอหรือทัดเทียบกับสวิช
สวิชไม่ขัดข้องเพราะไม่มีผู้หญิงที่ชอบพอ ส่วนหล่อนนะหรือแม้ไม่ใช่คนหัวอ่อนแต่ก็ยอมตามใจพ่อแม่ เพราะสวิชคือพระเอกขี่ม้าขาวสำหรับหล่อนในวัยเยาว์ คือผู้ชายในฝัน ทั้งรูปร่างหน้าตาและคารม ไม่แปลกเลยที่เขาจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ชอบ
สวิชจบการศึกษาด้านเคมีทั้งในและต่างประเทศ และเมื่อหล่อนต้องไปศึกษาต่อต่างประเทศเขาก็เป็นคนจัดการทุกอย่างให้ เรื่องที่เรียน ที่พัก และอยู่เป็นเพื่อนจนหล่อนปรับตัวได้เขาจึงกลับมาประเทศไทยแต่ก็บินไปเยี่ยมเยียนหล่อนบ่อยครั้งเมื่อมีเวลา สวิชดูแลกิจการเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและเคมีภัณฑ์พร้อมทำงานอดิเรกที่เขาชอบและประสบผลสำเร็จอย่างดีทีเดียว
ส่วนหล่อนก็กลับมาทำงานที่ชอบแต่ทางบ้านไม่ค่อยปลื้มนัก และมีเพียงสวิชเท่านั้นที่คอยสนับสนุนหาที่ทำงานให้ ให้กำลังใจ และคอยแก้ต่างให้ผู้ใหญ่เข้าใจว่างานของหล่อนได้เสี่ยงภัยอะไรและเป็นงานที่ตรงตามสาขาที่เรียนมา เขาขอขอโอกาสให้หล่อนได้พิสูจน์ตัวเองว่าทำงานได้ ซึ่งผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสหล่อนทันทีทั้งที่หล่อนเว้าวอนจนปากเปียกปากแฉะแม่ก็ไม่ยอมท่าเดียว