เมื่อเดินกลับมาที่ห้องอาหารก็ถูกนำขึ้นโต๊ะแล้วเห็นทั้งสองแฝดกำลังเคี้ยวอาหารจนแก้มป่องทั้งคู่แล้วก็อดใจไม่ได้ จึงก้มลงไปหอมแก้มป่องๆนั้นของทั้งสองคนละฟอดใหญ่ แล้วเสียงโวยวายเล็กๆของทั้งสองก็ดังขึ้น ว่าพวกเค้าโตแล้วนะงู้นงี้งั้นกันจนวุ่นวายไปหมด ข้าก็ได้แต่หัวเราะไปกับท่าทางของทั้งสอง จนรู้สึกถึงใครอีกคนที่ตามเข้ามา
"พี่เขย ท่านจัดการพี่ใหญ่เลยนางมาหอมแก้มพวกข้าอีกแล้วพวกข้าโตแล้วนะ" น้องเล็กที่เห็นอีกคนเข้ามาก็รีบเอ่ยฟ้อง โดยมีน้องรองพยักหน้าหงึกหงักร่วมยืนยัน
"เอาไว้อีกสักปีเถอะพวกเจ้าถึงค่อยหวงเนื้อหวงตัว ท่านแม่ของพี่จนตอนนี้ยังหอมแก้มพวกเราสามคนพี่น้องอยู่เลย" คนที่เข้ามาทีหลังได้ยินก็หัวเราะ
"คุณชายซานตอนนี้ท่านพักที่ไหนขอรับ พักที่สำนักคุ้มภัยหรือเปล่า" ลุงเฉินเอ่ยถาม
"ใช่ขอรับ ลุงเฉินมีอะไรให้ข้าทำหรือเปล่า" อีกฝ่ายเอ่ยถาม
"คือพอดีตอนนี้พวกเราเช่าบ้านอยู่ที่หมู่บ้านหวงอู่ ระหว่างรอสร้างบ้านที่หมู่บ้านหนิงซาน ข้าเลยอยากจะจ้างคนคุ้มกันขอรับ เพราะพวกเรายังไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ถ้าอย่างไรไม่รบกวนคุณชายซานจนเกินไปก็อยากให้ช่วยแนะนำคนที่ไว้ใจได้ให้พวกข้าสักคนขอรับ" ลุงเฉินเอ่ยขึ้นซึ่งก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดเอาไว้อยู่เหมือนกัน
"ลุงเฉินไม่ต้องเกรงใจถ้าอย่างนั้นข้าจะรับงานนี้เอง ถึงอย่างไรข้าก็มีฐานะเป็นคู่หมั้นเสี่ยวเมิ่งคงเหมาะสมกว่า อีกอย่างตั้งแต่นี้ไปข้าจะไม่ออกงานเดินทางคุ้มกันอีกแล้ว" ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมามองข้า
"ท่านบาดเจ็บหรือขอรับ ทำไมถึงไม่รับงานเดินทางคุ้มกัน" ลุงเฉินเอ่ยถามด้วยท่าทางตกใจ
"หาไม่ขอรับ ข้าแค่จะทำความคุ้นเคยกับว่าที่เจ้าสาวและเตรียมตัวแต่งงานเท่านั้นขอรับ" ชายหน้ามึนเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมายิ้มให้ข้าอีกด้วย
ข้าที่เห็นรอยยิ้มนี้ทีไรใจก็พากันเต้นแรงทุกที จึงต้องหันหน้าหนี แล้วตั้งหน้าตั้งตากินอาหารแทน
เช้านี่ข้าตื่นมาด้วยความง่วงงุนเมื่อคืนข้านอนคิดไปคิดมาจนกว่าจะหลับก็ปาเข้าตีสามแล้ว แล้วเช้านี้พวกเราต้องออกจากโรงเตี้ยมในตอนเก้าโมงเช้าหน้าตาของข้ามันจึงเรียกว่าย่ำแย่ทีเดียว
"เสี่ยวเมิ่งเจ้าไม่สบายหรือ" เสียงลุงเฉินร้องทัก
"เปล่าเจ้าคะ เมื่อคืนข้านอนไม่หลับ"
"งั้นเรารีบออกเดินทางเถอะไปถึงบ้านเช่าเจ้าจะได้พักผ่อน"
ข้าให้คนงานขึ้นไปขนของลงมา เมื่อออกมาถึงหน้าโรงเตี้ยมก็เห็นเกวียนวัวมาจอดรอแล้ว เพียงแต่คนบังคับเกวียน ไม่ใช่ลุงเฉินแต่เป็นชายหนุ่มสวมชุดผู้คุ้มกันที่มีผ้าปิดหน้าเอาไว้ ข้าจึงมองไปที่ชายคนนั้นด้วยความระแวง ชายคนนั้นจึงดึงผ้าปิดหน้าออกข้าจึงเห็นว่าเป็นชายหน้ามึนนั้นเอง
"น้องหญิงหน้าตาเจ้าไม่สดชื่นเลย แวะให้ท่านหมอตรวจสักหน่อยไหม" ชายหน้ามึนกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ
"ไม่ต้อง ข้าแค่นอนไม่หลับเท่านั้น" ข้าตอบเสียงห้วน ก็เพราะใครละทำให้ข้าต้องนอนคิดไปคิดมาทั้งคืน แถมยังมาเรียกข้าว่าน้องหญิงหน้าตาเฉยอีก คนอะไรทั้งหน้ามึนและหน้าหนายิ่งนัก
เมื่อข้าบ่นในใจจนพอใจก็ขึ้นไปนั่งบนเกวียนสำรวจข้าวของว่าขนขึ้นมาหมดเรียบร้อย ก็ให้รางวัลคนงานที่ช่วยขนของและดูแลไปคนละร้อยอีแปะแล้วจึงออกเดินทาง
เมื่อเกวียนเคลื่อนที่เสียงเจื้อยแจ้วของน้องเล็กก็ดังขึ้น ชวนพี่ชายคนใหม่พูดคุยไม่หยุดปาก ขนาดน้องรองที่ว่านิ่งๆยังร่วมพูดคุยด้วยอย่างสนุกสนาน
เมื่อคืนทั้งสองบอกกับข้าว่าลุงเฉินเป็นคนแนะนำว่าชายหน้ามึนเคยเป็นผู้คุ้มกันให้ท่านพ่อกับท่านแม่ สองแฝดจึงสนิทสนมด้วยอย่างง่ายดาย
ชายหน้ามึนก็หาเรื่องต่างๆ มาพูดคุยกับสองแฝดได้ตลอดเวลา ใบหน้าก็มีแต่รอยยิ้มถ้ามีหญิงสาวคนไหนได้มาเห็นข้าว่าคงตกหลุมรักเขาไม่น้อยทีเดียว
แล้วความคิดข้าก็ย้อนไปถึงเรื่องที่ทำให้นอนไม่หลับเมื่อคืน ก็คือเรื่องของชายหน้ามึนคนนี้นี่เอง นอกจากแซ่ซานกับเป็นผู้คุ้มกันข้าก็ไม่รู้เรื่องราวใดใดของเขาอีกแถมยังไปรับของหมั้นเขามาแล้วด้วย
แต่ข้าก็คำนึงผลได้ผลเสียของการที่ตกลงรับการหมั้นหมายไว้ด้วย นอกจากข้าจะมีคนปกป้องเพิ่มในพื้นที่ๆไม่รู้จักแล้ว สองแฝดก็น่าจะได้ประโยชน์จากคนๆนี้อีกด้วย
ทั้งสองกำลังโตต้องการต้นแบบหรือคนช่วยชี้แนะที่ดี ลุงเฉินถึงแม้จะทำได้ก็ยังติดฐานะบ่าวไม่กล้าขัดหรือตักเตือนสองแฝดแน่ๆ ส่วนข้าเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายไปกว่าที่เคยดูในทีวีมา ขนาดอาบน้ำแต่งตัวถ้าไม่ใช่เพราะร่างเดิมทำได้ ข้าก็อาจจะทำไม่เป็นเลยด้วย
และคนๆนี้ท่าทางดูแล้วก็ไม่น่าจะหวังร้ายต่อพวกเรา ซึ่งก็ถือว่าดีที่จะมีคนมาช่วยข้าดูแลสองแฝดเพิ่ม ข้าหวังว่าความรู้สึกของข้ามันจะถูกต้อง
"เสี่ยวเมิ่งถึงแล้วลงมาเถอะ" เสียงทุ้มนุ่มพร้อมกับแรงเขย่าเบาๆ ที่แขนทำให้ข้ารู้สึกตัว หันไปตามเสียง ก็สบเข้ากับดวงตาคมคู่หนึ่ง ข้ามองจองเข้าไปในนั้น มองเห็นถึงความแน่วแน่และมั่นคงในนั้น
"ข้าเชื่อใจท่านได้ใช่ไหม" ข้าเอ่ยออกไปเสียงเบา และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มอ่อนโยนและในตาคู่นั้นที่มีเพียงเงาของข้าเท่านั้น
"ลงมาก่อนเถอะ ข้าจะเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวข้าให้เจ้าฟัง" เสียงทุ้มและรอยยิ้มที่แสนจะอ่อนโยนที่ส่งมาให้ข้า พร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมารอรับข้าลงจากเกวียนดวงตาของเขาที่ดูมั่นคงทำให้ข้าตัดสินใจได้
ข้ายื่นมือไปวางบนมืออุ่นหยาบเล็กน้อยนั้น ทันทีที่มือข้าวางลงไปฝ่ามือนั้นก็กระชับมั่นและช่วยพาข้าลงยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง แล้วก็จับมือพาข้าเดินไปทางด้านหลังบ้านซึ่งมีลำธารสายเล็กไหลผ่าน ลมพัดเย็นสบาย ข้าได้ยินเสียงสองแฝดหัวเราะเสียงดัง มองไปก็เห็นทั้งสองวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยมีลุงเฉินคอยยืนระวังอยู่ใกล้ๆ
ฝ่ามือนั้นจับมือพาข้ามาจนถึงศาลาหินริมน้ำ บรรยากาศเงียบสงบ ลมพัดเย็นสบายข้านั่งลงในศาลาที่ดูแล้วคงได้รับการดูแลและทำความสะอาดอย่างดี
"ข้าได้ยินว่าเสี่ยวเมิ่งสนใจบ้านหลังนี้งั้นรึ"
"ใช่..เอ่อ..เจ้าค่ะ ข้าอยากได้ไว้ให้สองแฝดเวลาที่ต้องเข้ามาเรียนในเมือง" ข้าตอบออกไปติดขัดเล็กน้อยหลังจากตัดสินใจเรื่องชายคนนี้ได้แล้ว
"ข้าไปสำรวจเรื่องการเรียนมาแล้ว ที่นี่มีสำนักศึกษาในเครือของแคว้นหวงอยู่รับเด็กชายหญิงเข้าเรียนตอนอายุ 7ปี เรียนจนถึงอายุ15ปีและถ้าใครจบจากที่นี่โอกาสไปสอบเข้าที่สำนักศึกษาหวงหลงของแคว้นหวงก็จะสูงขึ้นด้วย
ข้าลองสอบถามทั้งสองแฝดแล้ว ทั้งสองอยากจะเข้าเรียนที่หวงหลงในตอนอายุ 15ปี เพราะฉะนั้นการให้ทั้งสองคนได้เรียนที่สำนักศึกษานี่ อาจจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ทั้งสองคนได้ ข้าจึงอยากเตรียมการเรื่องนี้เอาไว้" ข้ากล่าวขึ้นตามที่คิดเอาไว้ และอีกอย่างอยากจะฟังความคิดของคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย
"อืมเป็นความคิดที่ดี ปีหน้าเดือนห้าสำนักศึกษานั้นถึงจะทำการเปิดรับเด็กใหม่ ระหว่างแปดเก้าเดือนที่เหลือนี้ข้าจะช่วยดูแลเรื่องการเตรียมตัวเข้าเรียนให้พวกเขาเองเจ้าวางใจได้"
"ขอบคุณคุณชายซาน" ข้าเอ่ยขอบคุณด้วยใจจริง เพราะสิ่งที่ข้าเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้คือสองแฝด ข้าอยากตอบแทนร่างนี้และครอบครัวนี้อย่างดีที่สุดจริงๆ
"ชื่อของพี่คือหลงซานเฟยแซ่จริงคือหลงแต่คนอื่นจะรู้แค่ว่าพี่แซ่ซานชื่อเฟย"
"แซ่หลง? ทำไมเหมือนเคยได้ยิน" ข้าบ่นพึมพัมเบาๆ ก็ได้รับเป็นเสียงหัวเราะและน้ำหนักที่วางลงบนศีรษะ
"แซ่หลงแห่งแคว้นหวง และหวงหลงนี่คือชื่อเต็มของแคว้นหวงเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน"
"ท่านเป็นคนแคว้นหวง?" ข้าถามออกไปโดยที่แสดงสีหน้าว่าไม่รู้จะตกใจหรือจะสงสัยก่อนดี
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใช่พี่เป็นคนตระกูลหลงของแคว้นหวง ท่านพ่อเป็นประมุขตระกูลหลง ท่านแม่เป็นเจ้าของกิจการโรงเตี้ยมและเหลาอาหารหวงซานทั้งหมด พี่เป็นลูกชายคนรอง มีพี่ชายฝาแฝดและน้องสาวอีกหนึ่งคน
พี่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสำนักคุ้มกันและโรงรับฝาก ปีนี้มีอายุ 20ปีถ้านับตามอายุที่นี่ ไม่มีคู่หมั้นคู่หมายหรือหญิงสาวที่พึงใจมาก่อน แม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงก็ไม่มี คนตระกูลหลงจะมีภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และเจ้าจะเรียกว่าพี่เฟยหรือจะเรียกว่าท่านพี่ก็ได้นะ" ชายหน้ามึนกล่าวตอนแรกด้วยหน้าตาจริงจัง และพอประโยคท้ายก็ส่งยิ้มล่อลวงมาให้อีก
ข้าที่ยังไม่ทันจะได้ตกใจกับฐานะและครอบครัวอันยิ่งใหญ่ของเขา ก็ได้รับรอยยิ้มล่อลวงนั้นเสียก่อน จนต้องสูดหายใจลึกเพื่อข่มความเขินอายเอาไว้และหันหน้าหนีทันที โดยที่ไม่รู้เลยว่าริ้วแดงบนแก้มข้ามันลามไปจนถึงหูฟ้องอีกฝ่ายหมดแล้ว
"เสี่ยวเมิ่งพี่เห็นแหวนกับกระเป๋าของเจ้า เจ้ารู้ความพิเศษของมันใช่ไหมแล้วมีใครรู้อีกบ้าง" เมื่อให้ข้าสงบสติลงสักครู่ พี่เฟย คะแค่ก..ก็เขาให้ข้าเรียกงี้เองนี่ พี่เฟยก็เอ่ยถาม
"ท่านรู้?" ข้าหันไปมองใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างระแวง
"พี่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนให้เจ้า" พี่เฟยเอ่ย
ข้าที่ได้ยินก็ตกใจจนตาโต แต่คนที่เห็นกลับหัวเราะขำข้าเสียอย่างนั้น ข้าจึงส่งค้อนไปให้ด้วยความหมั่นไส้
"ฮ่า ฮ่า ก็หน้าเจ้ามันช่างตลกนี่ เอาล่ะๆพี่ไม่หัวเราะแล้ว ที่รู้เพราะสงสัยว่าจะเป็นท่านแม่ของพี่เอง กระเป๋าใบนั้นมีหนังสือการเดินทางของนายหญิงซานมาด้วยไหม"
"มีเจ้าค่ะ" ข้าเอ่ยพร้อมพยักหน้ารับ
"อืมเป็นท่านแม่ของพี่เองนางเขียนหนังสือนั้นตั้งใจจะวางขายแต่ปรากฎว่ามันขายไม่ได้ ท่านก็เลยสั่งให้คนงานเย็บกระเป๋ามิติขึ้นมาใส่หนังสือเอาไว้แล้วให้คนเอาไปขาย คนอื่นอาจจะคิดว่าขายกระเป๋าแถมหนังสือ แต่จริงๆก็คือขายหนังสือแถมกระเป๋าต่างหาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า" คนพูดเล่าไปก็หัวเราะไป ข้าที่ฟังก็พลอยหัวเราะไปด้วย แล้วก็คิดถึงคุณยายซานที่แสนใจดีคนนั้น
"งั้นรายการอาหารพวกนั้นคุณยายซานก็เป็นคนคิดใช่ไหมเจ้าคะ"
"คุณยาย?? ฮ่า ฮ่า ใช่แล้วท่านแม่ไปท่องเที่ยวแล้วก็ไปเอาสูตรอาหารพร้อมวิธีทำรวมถึงเมล็ดพันธ์ต่างๆกลับมามากมาย ขนาดวัวนม วัวเนื้อวากิวที่เป็นที่นิยมก็เอากลับมาด้วย กว่าจะหาคนมาดูแลพวกมันและข้าวของที่ขนกลับมาพวกนั้นได้อย่างถูกต้อง ท่านพ่อถึงกับปวดหัวไปเป็นเดือนเลย อีกอย่างเจ้าต้องเรียกว่าท่านแม่แทนคุณยายนะเสี่ยวเมิ่ง" พี่เฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้มล่อลวงข้าอีกแล้ว
และก็ล่อลวงข้าสำเร็จเสียด้วย เพราะเสียงหัวใจที่เต้นแรงของข้ากับความร้อนบนใบหน้าน่าจะยืนยันได้ดี นอกจากพระเอกในทีวีที่เคยดู ข้าก็พึ่งจะได้เคยใกล้ชิดกับชายหนุ่มจริงๆ แถมยังหน้าตาดีมากๆ อีกด้วยก็ตอนนี้นี่เองหรือข้าจะใจง่ายไป แต่ทำไงดีละข้าทำตัวไม่ถูก แง
สงสัยหน้าตาข้าคงมันจะดูแปลกๆไปอีกแล้ว เพราะพี่เฟยหัวเราะข้าเสียงดังมากเลยตอนนี้
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอาละพี่ไม่แกล้งเจ้าแล้ว และก็ไม่ต้องคิดอะไรมากมีพี่อยู่เกิดอะไรขึ้นก็ขอให้บอก พี่จะรับหน้าแทนเจ้าทุกอย่างเอง เจ้ากับน้องแค่ใช้ชีวิตให้ดีให้มีความสุขแค่นั้นก็พอแล้ว" พี่เฟยวางมือไว้บนศีรษะข้าพร้อมลูบเบาๆและกล่าวด้วยสายตามั่นคงและจริงจัง
ข้ารับรู้ได้ถึงความจริงใจที่สื่อออกมาจากคำพูดและท่าทางทั้งหมด ผู้ชายคนนี้ที่ถึงแม้ข้าจะพึ่งเจอแต่กลับรู้สึกว่าวางใจในตัวของเขาได้ อาจจะเพราะที่เขาบอกว่าเป็นลูกชายของคุณยายซาน..เอ่อคุณแม่..อืมตามนั้นแหละ เลยทำให้ข้ารู้สึกวางใจได้
โชคดีจังที่ได้มาที่นี่ ไม่ต้องนอนอยู่คนเดียวบนเตียงในห้องแคบๆ อีกต่อไปและถึงแม้จะไม่มีพ่อกับแม่ แต่ข้าก็ยังมีคนที่เรียกว่าครอบครัวและคนที่หวังดีต่อกันอยู่เคียงข้างช่างดีจริงๆ