“ท่านป้าเจิน ท่านลุงเจินเจ้าคะ อยู่บนบ้านหรือไม่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” ฝูเฟยเมี่ยวร้องถาม
“มีของมาฝากเยอะแยะเลยเจ้าค่ะ” เสียงใสๆ ของฝูฟางหรงดังขึ้นบ้าง
ป้าเจิ้นเยี่ยมหน้าออกมา ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเมื่อมองเห็นสองแม่ลูกหอบข้าวของพะรุงพะรังมาฝาก
“นี่พวกเจ้าขนสิ่งใดมามากมาย เปลืองเงินเปลืองทองเสียเปล่าๆ” นางเอ่ยอย่างเกรงใจ
“มีขนมหลายอย่าง อร่อยมากๆ เลยเจ้าค่ะ แล้วนี่ยังมีไก่กับเป็ดย่างด้วยเจ้าค่ะ” เด็กน้อยชูห่อขนมที่นางถือมาให้ป้าเจินดูอย่างมีความสุข วันนี้นางทั้งได้เข้าไปเที่ยวตลาดในเมือง ได้กินขนมอร่อยๆ และยังได้ของมาฝากป้าเจินที่ใจดีอีก
ป้าเจินรับของฝากเหล่านั้นมาด้วยความยินดี ก่อนเอ่ย
“ตอนนี้น้องชายของเจ้าหลับอยู่ อีกสักเดี๋ยวก็คงตื่นแล้วล่ะ
“เช่นนั้น ระหว่างรออาหลงตื่น ข้าอยากปรึกษาอะไรท่านป้าเจินท่านลุงเจินสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม ว่ามาสิ” ชายชราเดินออกมาจากทางด้านหลังบ้านทันได้ยินบทสนทนาพอดีจึงกล่าวออกไป
“ข้าอยากปลูกหม่อน และเลี้ยงตัวไหมเจ้าค่ะ”
“เจ้านี่ช่างสรรหา และช่างขยันเสียจริง ข้าละนับถือ” ลุงเจินว่า
“แล้วเจ้าจะปลูกหม่อนที่ไหน แบ่งที่ส่วนหนึ่งของนาไปปลูกรึ?” ป้าเจินถามขึ้นบ้าง
ฝูเฟยเมี่ยวยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ย
“ตอนแรกก็ว่าจะปลูกหม่อนทางด้านทิศตะวันตกของนา แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าอยากหาเช่าที่น่ะเจ้าค่ะ ท่านลุงเจิน ท่านป้าเจินพอจะรู้หรือไม่เจ้าคะว่ามีผู้ใดอยากจะปล่อยที่ดินให้เช่าบ้าง ลำพังที่นาของข้านั้นก็เป็นเพียงนาแปลงเล็กๆ หากต้องแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งไปปลูกหม่อนก็เสียดายข้าวที่จะได้ในแต่ละปีน่ะเจ้าค่ะ”
ลุงเจินทำท่าครุ่นคิด
“ข้าได้ยินมาว่า ที่นาของอากู้นั้นดินเป็นดินเลว ทำนาให้ผลผลิตไม่ดี อากู้เคยบ่นให้ฟังบ่อยๆ ว่าอยากขายทิ้ง แต่ไม่มีใครอยากซื้อที่นาที่ดินไม่ดีอย่างนั้นหรอก ข้าจะลองไปถามให้ เผื่ออากู้อยากปล่อยให้เช่า”
อากู้นั้นเป็นสหายรุ่นราวคราวเดียวกับลุงเจิน น่าจะพูดกันได้ไม่ยาก
“ขอบคุณท่านลุงเจินมากเจ้าค่ะ หากท่านลุงกู้ยอมให้เช่าที่ดิน ข้าจะได้เตรียมเงินไว้สำหรับจ้างคนในหมู่บ้านมาช่วยขุดดิน ถางหญ้าและปลูกหม่อน”
ที่นาของลุงกู้ในอีกสามวันต่อมานั้นเต็มไปด้วยบุรุษและสตรีของหมู่บ้านเฉียงไฉ่ราวๆ20 คน พวกเขามารับจ้างถางหญ้าและขุดดิน ลุงกู้นั้นดีใจนักหนาที่ฝูเฟยเมี่ยวนั้นมาเช่าที่นาของเขาซึ่งดินนั้นไม่ดี เป็นดินปนทราย อุ้มน้ำไม่อยู่ ทำนากี่ปีๆ ก็ไม่ได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจเลยสักครา อันที่จริงเขาอยากขาย แต่ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านสนใจซื้อ ดีแค่ไหนแล้วที่ฝูเฟยเมี่ยวมาขอเช่าเป็นเวลา 10 ปี โดยให้ค่าเช่าปีละ 20 ตำลึง
“นี่ๆ เจ้าได้ยินได้ฟังอันใดมาหรือไม่ ได้ข่าวว่าน้องสะใภ้ เอ๊ย…อดีตน้องสะใภ้ของเจ้านั้นไปเช่าที่ของท่านลุงกู้ จะทำอันใดก็ไม่รู้ เมื่อเช้าข้าเห็นคนในหมู่บ้านของเราราวๆ ยี่สิบคนถือจอบถือเสียมไปรับจ้างนางขุดดินและถางหญ้า” สหายช่างยุของฉีเจียวเหม่ยรีบตรงดิ่งมาหาที่บ้านหลังจากแอบไปสืบข่าวมา
นางฉีเจียวเหม่ยหูผึ่ง ในใจร้อนรุ่ม นี่นังแพศยาผู้นั้นจะทำสิ่งใด ไปเช่าที่นาเช่นนั้นรึ และยังจ้างชาวบ้านตั้งยี่สิบคนไปทำงานให้ด้วย แบบนี้นางจะนิ่งเฉยไม่ได้แล้ว
“เช่าที่ดินของท่านลุงกู้เช่นนั้นรึ?” นางฉีเจียวเหม่ยถามอย่างร้อนรน
“ใช่” สหายช่างยุตอบพลางรีบพยักหน้า
“ฮึ!แต่ที่ข้าเคยได้ยินมาน่ะ ที่นาตรงนั้นของท่านลุงกู้เป็นที่นาที่ไม่ดี ดินเลว เป็นดินปนทราย ไม่อุ้มน้ำ ปลูกข้าวกี่ปีๆ ก็ไม่ได้ผลผลิตดีสักครั้ง นี่นางโง่หรือบ้ากันแน่ที่ไปเช่าที่แบบนั้น ท่านลุงกู้หาคนซื้อมานานแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดอยากได้หรอก”
“แล้ว…ถ้าเกิดว่านางไม่ได้จะปลูกข้าว แต่จะปลูกอย่างอื่นล่ะ?” สหายของฉีเจียวเหม่ยผู้นี้นามว่าอู่ซินเจียง มีนิสัยชอบยุแยงตะแคงรั่ว ช่างเหมาะกับการเป็นสหายสนิทกันยิ่งนัก
“เช่นนั้น เจ้าช่วยไปสืบมาให้ข้าที ข้าเองก็อยากรู้ว่าสตรีโง่เง่าเช่นนั้นคิดจะปลูกอันใด”
“ได้ๆ งานนี้ข้าถนัดนัก”
นางอู่ซินเจียงมาด้อมๆ มองๆ ดูชาวบ้านที่กำลังสาละวนขุดดินถางหญ้ากันอยู่โดยที่ตัวนางนั้นแอบอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ อู่ซินเจียงนั้นถือคติที่ว่า ‘เรื่องของชาวบ้าน คืองานของเรา’ ดังนั้นนางจึงสามารถอดทนแอบดูความเป็นไปในที่นาที่ฝูเฟยเมี่ยวเช่าได้นานสองนาน
อีกหนึ่งชั่วยามถัดมามีรถม้าสามคันใหญ่ๆ วิ่งมาจอดด้านหน้าทางเข้าที่นา อู่ซินเจียงตาโตเมื่อเห็นบุรุษหลายคนช่วยกันขนลำต้นของต้นไม้ชนิดหนึ่งลงมา ด้วยความที่ไม่แน่ใจนักว่ามันคือต้นอันใดนางจึงลงทุนวิ่งเข้าไปถาม
“นี่ๆ พวกเจ้า พากันขนต้นอะไรมารึ?”
“ต้นหม่อนน่ะท่านป้า นี่เป็นต้นพันธุ์ เจ้าของที่คงจะนำมาปลูกกระมัง” ชายหนุ่มกล่าวจบก็มิได้สนใจสตรีวัยกลางคนผู้นี้อีก พวกเขารีบเร่งขนต้นหม่อนเข้าไปในที่นา
หลังจากได้ยินดังนั้นอู่ซินเจียงก็รีบวิ่งแจ้นไปส่งข่าวให้สหายรักทันที
“ฮ่าๆๆๆ ต้นหม่อนเช่นนั้นรึ นี่นางโง่หรือบ้ากันแน่ นางจะปลูกหม่อนไปทำไมกัน?” ฉีเจียวเหม่ยหัวเราะจนท้องขดท้องแข็ง ในหมู่บ้านเฉียงไฉ่แห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดปลูกหม่อนเลี้ยงตัวไหม นี่อดีตน้องสะใภ้ตัวดีของนางกินยาผิดเทียบหรือกินเห็ดเมามา
“เอ…แล้วถ้าเกิดว่าอาเมี่ยวนางสามารถทำผ้าไหมออกมาได้งดงาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าผ้าไหมนั้นราคาแพงและสูงส่งล้ำค่าเพียงใด มีเพียงพวกสนมนางในหรือไม่ก็ฮูหยินและบุตรสาวของขุนนางใหญ่ๆ เท่านั้นนะที่จะสามารถซื้อหามาได้ หากเป็นเช่นนี้ อีกไม่ช้าไม่นานอาเมี่ยวก็จะต้องร่ำรวย” อุตส่าห์เสียเวลาครึ่งค่อนวันไปสืบความมาให้แล้ว นางอู่ซินเจียงขอยุแยงสักหน่อยเถอะ
ฉีเจียวเหม่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“ไม่มีทาง คนโง่ๆ อย่างนางไม่วันทำได้หรอก การทำผ้าไหมผู้ใดก็รู้ว่าทำยาก ต้องมีฝีมือมากแค่ไหน ฮึ!อย่างนางน่ะ เคยแต่ทำนา ทำไร่ ถางหญ้า ขุดดิน จะมีปัญญาที่ไหนทำผ้าไหม”
“มันก็ไม่แน่นะ เมื่อวันก่อนข้าเดินเลียบๆ เคียงๆ บ้านของจางลู่ชิน ได้ยินแว่วๆ ว่าอดีตน้องสะใภ้ผู้โง่งมของเจ้าน่ะเหมารถม้าเข้าไปในเมือง เอาจิ้งหรีดไปขาย ได้เงินมามากมาย ซื้อข้าวซื้อของจากตลาดกลับมาเต็มรถม้าเลยทีเดียว” อู่ซินเจียงพูดไปก็ลอบสังเกตสีหน้าสหายรักไปด้วย
“ว่าอย่างไรนะ นี่นางมีจิ้งหรีด แต่นำไปขายที่ตลาด ไม่นำมาให้ข้าเช่นนั้นรึ?” ฉีเจียวเหม่ยตอนนี้เลือดขึ้นหน้า ทั้งโกรธ ทั้งโมโหและมีความละโมบอยากได้ของผู้อื่น
“นางจะนำมาให้เจ้าทำไม ก็น้องชายของเจ้าเลิกรากับนางไปแล้วมิใช่รึ จำไม่ได้รึไง ตอนที่เจ้าไปทวงข้าวเปลือกที่บ้านของนาง ยังถูกนางตอกกลับมาจนหน้าคว่ำเลย จำไม่ได้รึ?” พูดจบสหายช่างยุก็ขอผินหน้าไปอีกทางเพื่อแอบหัวเราะสักหน่อยเถอะ
“นี่เจ้าจะมาซ้ำเติมข้าอยู่ทำไม เราต้องรีบไปดูที่บ้านของนางเดี๋ยวนี้ ข้าอยากรู้ว่ายังมีจิ้งหรีดเหลือให้ข้าอยู่หรือไม่?” พูดจบนางฉีเจียวเหม่ยก็ก้าวพรวดๆ เดินตรงไปที่ท้ายหมู่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านของฝูเฟยเมี่ยว
เวลานี้มีเพียงลุงเจิน ป้าเจิน และบุรุษอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับลุงเจินอีกสองคนกำลังสาละวนนำไม้ไผ่มาต่อเป็นรางสี่เหลี่ยม
“นี่กำลังทำอันใดกันอยู่ ทำรางอะไร ใช่รางเลี้ยงจิ้งหรีดหรือไม่?” ฉีเจียวเหม่ยตะคอกถามออกไปอย่างลืมตัวว่าที่นี่เป็นบ้านของผู้ใด
“หนึ่ง สอง สาม โห ทำตั้งยี่สิบราง ถ้าเลี้ยงจิ้งหรีดคงได้เป็นตัน” อู่ซินเจียงขอยุอีกสักทีเถอะ
ตอนนี้นางฉีเจียวเหม่ยกำมือแน่น
“ใช่แล้วล่ะ อาเมี่ยวน่ะนางจะเลี้ยงจิ้งหรีด เห็นว่าคราวก่อนที่นำเข้าไปขายในเมือง ทางร้านค้าร้านอาหารต่างติดอกติดใจ อยากได้เพิ่ม อาเมี่ยวเลยจ้างพวกข้ามาทำรางเพิ่มให้ อืม…ข้ารู้สึกว่าตั้งแต่เลิกรากับสามีนางมีหัวคิดที่กว้างไกล มีหัวการค้า หมู่นี้นางหาเงินได้เยอะมากๆ เมื่อวันก่อนก็ซื้อของกลับมาแทบจะเรียกได้ว่าเหมาตลาด ข้าว่านะ อีกไม่นานนางต้องเป็นคนที่รวยที่สุดในหมู่บ้านเฉียงไฉ่ของพวกเราแล้ว ฮ่าๆๆๆ” ลุงเจินพูดไปตอกตะปูไปอย่างอารมณ์ดี
ยิ่งฟังก็ยิ่งของขึ้น เวลานี้นางฉีเจียวเหม่ยแทบเลือดกำเดาไหลแล้ว
“หน็อยแน่! นี่อาเมี่ยวนางเลี้ยงจิ้งหรีด ได้เอาไปขายที่ตลาดแต่ไม่ยอมเอาไปให้ข้าซึ่งเป็นป้าของลูกของนางได้กินรึ อกตัญญูสิ้นดี”
“ใช่ๆ อกตัญญู” สหายช่างยุเปลี่ยนมาเป็นลูกคู่
“อันใดที่เรียกว่าอกตัญญูหรือ ฉีเจียวเหม่ย เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ บุญคุณให้กำเนิดไม่สู้บุญคุณเลี้ยงดู เป็นป้า เป็นบิดา แล้วทำอันใดให้ลูกข้าบ้าง หน้าหนาพอที่จะตอบหรือไม่ ขอเตือนกันดีๆ ไหนๆ ข้าก็เลิกรากับสามีเฮงซวยอย่างน้องชายของเจ้าไปแล้ว ต่อไปพวกเราอยู่แบบน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองจะดีกว่า ข้าไม่อยากเสียสุขภาพจิตมาต่อปากต่อคำกับเจ้า มันเสียเวลาทำมาหากิน ตอนนี้เวลาของข้ายิ่งเป็นเงินเป็นทองอยู่ ไปๆ เถอะไป ไปเสียให้พ้นหูพ้นตา และอย่าได้ย่างกรายเข้ามาที่นี่อีก ไม่เช่นนั้นข้าจะร้องเรียนผู้ใหญ่บ้าน อืม…อาจจะไปถึงท่านเจ้าเมือง” พูดจบ ฝูเฟยเมี่ยวก็หันหลังให้พี่สาวอดีตสามี ทำราวกับนางไม่มีตัวตน
ฉีเจียวเหม่ยโกรธจนเลือดขึ้นหน้า นางชี้หน้าด่าอย่างลืมตัว
“หน็อยแน่! โอหังไปเถอะ ข้าจะคอยดูว่าหม่อนที่เจ้าเอามาปลูกมันจะแห้งจะเหี่ยว จะตายในเร็วๆ นี้ และคนอย่างเจ้าน่ะรึที่คิดจะทอผ้าไหม ข้าอยากจะหัวเราะให้ดังไปถึงเมืองที่ห่าวซวนอยู่ ร้อยวันพันปีคนที่นี่ไม่มีใครเคยทำผ้าไหม เจ้าเป็นเทพเซียนมาหรือไรคิดว่าจะทำได้ ดี…ข้าจะกลับไปนั่งรอหัวเราะให้ฟันหักที่บ้านของข้า ซินเจียง…กลับ” พูดจบนางฉีเจียวเหม่ยก็เดินกระทืบเท้านำหน้าจากไป
ฝูเฟยเมี่ยวเบ้ปากพลางยักไหล่ ชีวิตก่อนนางเคยเห็นนางร้ายทั้งในจอและนอกจอ นึกไม่ถึงว่าพี่สาวอดีตสามีเฮงซวยแห่งชาติของนางนี่ก็ตีบทแตกเหมือนกันนะ ส่วนเรื่องการทำผ้าไหมที่ใครต่อใครในหมู่บ้านต่างงุนงงกับนางนั้นน่ะหรือ จะบอกอันใดให้…
ชีวิตก่อนในวัยเด็กนั้นฝูเฟยเมี่ยวอาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัด แถวๆ ภาคอีสาน อาชีพหลักของครอบครัวคือทำนา อาชีพเสริมที่ทำเมื่อว่างจากนาก็คือการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทุกครอบครัวมีที่นาและสวนหม่อนของตัวเอง ส่วนเรื่องความรู้ความสามารถในการทำผ้าไหมนั้น ฝูเฟยเมี่ยวได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นมาจากยายและแม่ เพียงแต่ที่นี่ ในยุคโบราณย้อนเวลากลับไปหลายร้อยปีเช่นนี้เครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ อาจจะต้องมีการดัดแปลงและสร้างขึ้นมาใหม่ แต่นักสู้ชีวิตอย่างนางก็บ่ยั่น
‘จากอดีตกรรมกรก่อสร้าง สู่นักปั้นดารามือทอง’ นั่นคือแคปชั่นที่นักข่าวมักกล่าวถึงนาง
‘หึหึ ผ้าไหมนี่แหละคือบันไดไปสู่ดาว ลองดูกับเจ๊มั้ยล่ะ’ เพราะ ฝูเฟยเมี่ยวรู้ว่าบรรดาสตรีชนชั้นสูงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีในวังหลังนั้นต่างนิยมชมชอบผ้าไหมกันทั้งนั้น หากผู้ใดมีผ้าไหมล้ำค่า หายาก นั่นยิ่งทำให้พวกนางรู้สึกว่าตนเองนั้นเหนือกว่าสตรีนางอื่น