ตอนที่ 5

885 Words
กฤษณ์หันไปถามจ่านิกรที่ทำสีหน้าเคร่งเครียดบอกไม่ถูก ซึ่งจากแฟ้มคดีต่างๆ ที่ยังไม่สามารถปิดได้ทั้งหมดนี้ เขาเชื่อว่าทั้งหมดนี้ต้องเป็นฝีมือของฆาตกรต่อเนื่อง เพราะสภาพศพที่พบลอยอยู่ในน้ำในระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตรนั้น มีสภาพที่ไม่ได้แตกต่างกันเลย คือ เป็นศพของผู้ชาย มีสภาพแห้งราวกับถูกตากแดด ใบหน้าของศพส่วนใหญ่ที่ยังพอมองเห็นได้หากไม่ถูกสัตว์น้ำตอดกินไปเสียก่อนจะมีลักษณะตื่นตกใจ และที่สำคัญทุกศพอยู่ในสภาพเปลือยกาย ลักษณะเช่นนี้จะว่าเป็นอาถรรพ์ของสิ่งลี้ลับอย่างที่ชาวบ้านหรือตำรวจที่ สน. เชื่อกันได้อย่างไร ในเมื่อศพนั้นถอดเสื้อผ้าลงไปในคลองเอง สิ่งลี้ลับจะบังคับให้พวกเขาพร้อมใจกันแก้ผ้าน่ะเหรอ กฤษณ์มองถุงพลาสติกที่บรรจุเสื้อผ้าของศพเอาไว้ และรับซองพลาสติกที่บรรจุกระเป๋าเงินและรายละเอียดเกี่ยวกับศพจากจ่านิกรขึ้นมาอ่านชื่อ ‘นายไพบูลย์... ชาวจังหวัด... อายุ...’ รายละเอียดของศพคือชาวไทยภาคอีสานอายุ 38 ปี “ผมสอบถามคนในพื้นที่แล้วครับ นายไพบูลย์เพิ่งมาทำงานที่ไซต์งานก่อสร้างหน้าปากซอยได้ประมาณหนึ่งเดือนครับ เป็นคนขยันทำงาน และเมื่อคืนนายไพบูลย์ก็ออกโอทีมาตอนสี่ทุ่มครึ่ง” “เมื่อคืน” หัวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นคำถาม “ครับ นายไพบูลย์เลิกงานเมื่อคืนสี่ทุ่มครึ่ง แล้วก็ตรงกลับมาที่ห้องพักเลยครับ ไม่ได้ไปแวะเที่ยวที่ไหน เพราะมีคนงานเห็นเขาเดินกลับเข้าซอยมาตั้งแต่งานเลิกน่ะครับ” “นี่จ่าจะยืนยันว่านายไพบูลย์เพิ่งตายเมื่อคืน แต่ถูกสูบน้ำหล่อเลี้ยงจนตายเป็นซากแห้งแบบนี้น่ะเรอะ” กฤษณ์มองหน้าจ่าวัยกลางคนอย่างต้องการคำตอบ เพราะเขาชักจะฉุนขึ้นมานิดๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ไม่คิดจะหาคำตอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่ควรจะกระตือรือร้นกันให้มากกว่านี้ แต่ดันเชื่อกันทั้งหมดว่าคดีนี้เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้กองคนเก่าถึงถูกย้ายไป และผู้บังคับบัญชาก็มอบหมายหน้าที่นี้ให้เขามาคลี่คลายคดี “ครับ พยานและหลักฐานมีพร้อมสรรพ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ เพราะผลจากนิติเวชก็ตรวจสอบศพอื่นๆ ออกมาแบบนี้เช่นกัน” จ่านิกรยืนยัน เพราะเชื่อเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ธรรมดา “ผมจะเชื่อก็ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าการตายเกิดจากอะไร และคนร้ายทำได้อย่างไรเท่านั้น เรื่องเหนือธรรมชาติผมไม่มีทางเชื่อแน่นอน และผมก็จะพิสูจน์ให้ได้” กฤษณ์พูดอย่างคาดหมาย เพราะสมัยที่รถไฟวิ่งบนรางลอยฟ้า หรือวิ่งสวนทางกันไปมาใต้ดินได้แล้วนั้น เรื่องผีสางเทวดาไม่เคยอยู่ในหัวสมองของเขาเลย อาชีพตำรวจอย่างเขามีเพียงพยานและหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้เท่านั้นจึงจะเชื่อว่าคดีนั้นสิ้นสุดลง จะให้เชื่อว่าคดีที่เกิดขึ้นนั้นมาจากสิ่งเหนือธรรมชาติ ใครจะเชื่อกันเล่า กฤษณ์เรียกแฟ้มคดีฆาตกรรมในพื้นที่ทั้งหมดขึ้นมาดู เพื่อเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าประชุมหาแนวทางการป้องกันและหาฆาตกรตัวจริงมาให้ได้ และก็พบว่าไม่เพียงแต่จ่านิกรเท่านั้นที่คิดว่าคดีเหล่านี้เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นตำรวจทั้ง สน. ที่มีความคิดเช่นเดียวกัน กฤษณ์จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดทีมกันตรวจตราพื้นที่เป้าหมายตลอด 24 ชั่วโมง โดยเน้นในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน เพราะจากการคาดคะเนทำให้รู้ว่าในเดือนนี้อาจมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นอีก 1 ศพ และมันต้องเป็นฆาตกรที่เป็นมนุษย์ ไม่ใช่ ‘ผีพราย’ อย่างที่ชาวบ้านและนายตำรวจทั้ง สน. เชื่อกัน   ในยามดึกสงัดของคืนเดือนหงายที่อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสิ้นเดือน ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างช่วยกันลาดตะเวนอย่างแข็งขัน เพราะความเชื่อเรื่องคดีฆาตกรรมที่เกิดจากสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติกำลังจะหมดไป ด้วยระยะเวลากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดเวนมาตรวจตราตลอด 24 ชั่วโมง ก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลยสักอย่างในทั่วลำคลองแห่งนี้ อาจจะเรียกได้ว่าไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าออกมาเดินเพ่นพ่านในยามวิกาลก็ว่าได้ เพราะที่ผ่านไปผ่านมาก็มีแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น เสียงรถมอเตอร์ไซค์และแสงไฟที่สาดส่องมาทางนี้ทำให้จ่านิกรต้องหยีตามอง พลางแสดงความเคารพเมื่อเห็นผู้ที่มาใหม่ชัดเจน “เป็นยังไงบ้างจ่า มีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า” ผู้กองกฤษณ์เอ่ยถาม น้ำเสียงเคร่งขรึมแต่ก็ดูเป็นกันเองมากขึ้น เพราะวิธีของเขาใช้ได้ผล นายตำรวจทั้ง สน. คลายความหวาดกลัวในบางสิ่งและหันมาทำหน้าที่ของตนอย่างแข็งขันมากขึ้น เช่น จ่านิกรก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เริ่มเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเพราะมีคนทำให้เกิดขึ้น ไม่ใช่จากผีทำ  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD