ตอนที่ 4

971 Words
ร่างแข็งขืนพยายามดิ้นรนพาไอ้ตัวโหญ่ให้หลุดออกจากโพรงดอกไม้ที่บีบรัดแน่นขนัดจนเขาหายใจไม่ออก แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนเท่าไร ก็คล้ายกับว่าโพรงที่บีบรัดนี้ไม่ปลดปล่อยเขาออกไปได้เลย กลับกันสาวงามยังควบขี่ร่างของเขาอย่างเมามัน พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ผ่านเข้ามาในหู ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตากรรมกรต่างจังหวัดที่เพิ่งได้ลองความเสียวจากเมืองกรุงเป็นครั้งแรกเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อความเสียวพุ่งทะยานไปข้างหน้าไม่หยุด ด้วยน้ำเชื้อถูกดูดออกอยู่ตลอดเวลา และด้วยดวงตาสาวงามที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งเลือด รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากก่อนที่ร่างอวบอิ่มแต่เปล่าเปลือยจะค่อยๆ พาเรือนร่างของตนเองลุกขึ้น ให้ดอกไม้งามละจากความแข็งแกร่งที่เหี่ยวแห้งไม่ต่างจากซากลูกไม้ที่เหี่ยวเฉาตามเวลา เมื่อน้ำหล่อเลี้ยงความแข็งแกร่งทั้งหมดนั้นถูกซูบออกมาจนหมดสิ้นแล้ว ร่างที่นอนชิดติดอยู่กับคาคบไม้ก็ไม่ต่างจากซากศพตากแห้งที่ตายมาแล้วเป็นแรมปี ทั้งที่วิญญาณเพิ่งถูกกระชากออกจากร่างเพียงแค่อึดใจ สาวงามค่อยๆ พาตัวเองก้าวลงสู่คุ้งน้ำเบื้องหน้า ใบหน้าสวยหวานหันมองสภาพซากศพที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ก่อนที่รากมะกอกจะจมลงพาซากศพสู่ใต้น้ำ พร้อมๆ กับใบหน้างดงามที่อิ่มเอิบไปด้วยเลือดฝาดจะแย้มยิ้มและค่อยๆ จมลงสู่ท้องน้ำหายไปอย่างไร้ร่อยรอย   “กรี๊ดดดดด...” เสียงกรีดร้องดังทั่วคุ้งน้ำด้านหน้า เรียกผู้คนทั่วบริเวณให้วิ่งตรงไป และสิ่งที่เห็นก็ทำให้พ่อค้าแม่ค้า คนงานก่อสร้างที่พักอยู่ในบริเวณแห่งนี้ หญิงสาว คนแก่ และเด็กๆ ที่ต่างวิ่งกรูมาในบริเวณต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน บ้างก็หันไปอาเจียนเอาอาหารเช้าที่เพิ่งทานออกไปจนหมด บ้างก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่กล้ามองดูตรง และมีบ้างที่ต้องฝืนใจมองดูเพราะอยากรู้อยากเห็น และเพียงไม่นานเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึง มีการกั้นอาณาเขตด้วยเชือกแนวกั้นของตำรวจเพื่อห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป แต่ทั้งหมดนั้นก็คงจะห้ามไทยมุงไม่ได้ ด้วยเหตุฆาตกรรมสยองขวัญนี้เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เฉลี่ยแล้วจะมีคนตายในลักษณะนี้ถึงเดือนละ 2 รายด้วยกัน และสำหรับเดือนนี้ นี่คือศพแรก ทำให้ชาวบ้านยิ่งหวาดผวาเพราะนั่นก็เท่ากับว่าอีกศพนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอีกในไม่กี่วันข้างหน้านี้ “เป็นอย่างไรบ้างจ่า” เสียงทุ้มของผู้มาใหม่เอ่ยถาม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่หันมาทำความเคารพผู้มาใหม่ ที่เพิ่งรอดผ่านเข้ามาในเขตกั้นเชือกพลางรายงานถึงสถานการณ์ตรงหน้า “เหมือนกับศพที่แล้วๆ มาครับผู้กอง สภาพแห้งราวกับขาดน้ำหรือถูกนำไปตากแห้งก่อนจะทิ้งลงน้ำ” จ่านิกรเอ่ยตอบผู้บังคับบัญชา พร้อมกับขนกายที่ลุกขึ้นตั้งชันอย่างรู้สาเหตุเป็นอย่างดี เพราะหากไม่ใช่คดีที่เกิดในท้องที่ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะมาเฉียดใกล้กับสถานการณ์เยี่ยงนี้ เพราะในระยะทางเพียง 1 กิโลเมตร ของลำคลองที่แยกตัวออกมาจากแม่น้ำสายหลัก ต้องบอกว่าทั่วทุกจุดที่เป็นเว้าแหว่งหรือเป็นคุ้งเล็กๆ นั้น ล้วนแต่มีซากศพตายแห้งแบบนี้ลอยมาติดแล้วแทบทุกที่ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า ณ เวลานั้นเป็นช่วงน้ำขึ้นหรือน้ำลง หากเป็นช่วงน้ำลง ก็โน่น... ด้านหน้าวัดจะพบบ่อยที่สุด แต่หากเป็นช่วงน้ำขึ้นก็ไม่พ้นจะมาเจอศพที่ปากคลองเยี่ยงนี้ “จมน้ำตายหรือเปล่า” “ไม่ครับ ตายก่อนจึงถูกนำมาทิ้งน้ำ” “อย่างนั้นก็คงเป็นอย่างที่จ่าว่า ตายเพราะขาดน้ำหรือไม่ก็ถูกนำไปตากแห้งก่อนจะทิ้งลงน้ำ” ผู้กองหนุ่มพูดพลางย่อกายลงนั่งด้านข้างของศพชายกลางคนที่มีผิวหนังเหี่ยวแห้งจนแนบกระดูก ใบหน้าของศพแม้จะแห้งกรังและมีร่องรอยของการถูกสัตว์น้ำตอดผิวหนังเสียจนแทบจะจำใบหน้าเดิมไม่ได้ แต่ก็พอมองออกว่าผู้ตายนี้มีอาการตื่นตกใจอย่างที่สุดก่อนจะสิ้นลมหายใจ เพราะดวงตาเบิกกว้างและริมฝีปากที่อ้าค้าง “ผู้กองครับ เชื่อผมเถอะครับ ศพไม่ได้ถูกนำไปตากแห้ง แต่พวกเขา เอ่อ... ผมหมายถึงทุกศพที่แล้วๆ มานั้น ถูกดูดน้ำหล่อเลี้ยงในร่างกายไปจนหมด จนทำให้ร่างกายแห้งเหี่ยวอย่างที่เห็น ก่อนจะถูกนำมาทิ้งลงน้ำครับ” จ่านิกรพูดอย่างกล้าๆ เกรงๆ เพราะรู้ดีว่าผู้บังคับบัญชาคนใหม่ล่าสุดไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองพูด เมื่อ ‘ร้อยตำรวจเอกกฤษณ์’ ถูกส่งมาที่เขตพื้นที่นี้เพราะผู้กองคนก่อนถูกย้ายไปช่วยราชการที่อื่น เนื่องจากไม่สามารถปิดคดีเหล่านี้ได้ และในฐานะจ่าตำรวจในพื้นที่เขาก็คิดว่าอีกคงไม่นาน สน.ของเขาจะได้ต้อนรับผู้กองคนใหม่แน่ เพราะดูท่า ‘ผู้กองกฤษณ์’ คนนี้ก็ไม่ได้เชื่อเรื่องที่เขาบอกสักนิด “ผมจะเชื่อก็ต่อเมื่อวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เท่านั้นนะจ่า เรื่องงมงายอย่างที่จ่าเล่ามา ผมคงต้องขอบายจริงๆ แล้วนี่มีหลักฐานอะไรเกี่ยวกับศพบ้าง” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD