ตอนที่ 6

827 Words
“ไม่มีครับผู้กอง ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ” “อืม... ดีแล้ว นี่ถ้าถึงสิ้นเดือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็จะขอความร่วมมือจากผู้ใหญ่ในชุมชนให้จัดอาสาสมัครขึ้นมาดูแลแทนพวกเรา จะได้ไปทำคดีอื่นกันบ้าง” “ครับ ผมก็ดีใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก” “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ” กฤษณ์ถามเมื่อเห็นจ่านิกรอยู่ประจำ ณ จุดนี้เพียงคนเดียว “จ่าพลกับจ่าทิวแกไปตรวจที่หน้าวัดครับ อีกสักพักจะกลับมาเจอกันที่นี่” จ่าพลและจ่าทิวคือคู่ตำรวจที่ทำหน้าที่ตรวจตราร่วมกับจ่านิกรในคืนนี้ “อืม... งั้นเดี๋ยวผมจะวนรถดูรอบๆ สักพัก เดี๋ยวก็จะกลับเหมือนกัน” “ครับผม” จ่านิกรรับครับ ก่อนจะมองตามรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งของผู้กองหนุ่มไฟแรงแห่ง สน. ไป รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของจ่านิกร ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาราวกับขำขันตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วผู้กองกฤษณ์ก็พิสูจน์ได้ว่าเหตุการณ์ตายที่เกิดขึ้นตลอดมานั้นเป็นจากฝีมือมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่เกิดจากภูตผีปีศาจอย่างที่ชาวบ้านหรือแม้แต่ตำรวจอย่างพวกเขากลัว จนไม่กล้าที่จะหาเหตุผลที่แท้จริง เพราะเมื่อผู้กองสั่งให้ผลัดเวรกันตรวจตราแต่ละค่ำคืน กลับไม่มีเหตุการณ์อะไรเลย ดังนั้นฆาตกรมันก็ต้องเป็นคน ไม่ใช่ภูตผีแน่ เพราะผีมันคงไม่กลัวตำรวจหรอก   รถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพของผู้กองรูปหล่อวิ่งมาตามเส้นทางขนาดเล็กที่อยู่เลียบชายคลอง พลางสอดส่ายมองหาสิ่งผิดปกติแต่ก็ไม่พบอะไร จนมาถึงบริเวณศาลาท่าน้ำหน้าวัด ผู้กองกฤษณ์จึงจอดรถเพื่อลงเดินสำรวจตรวจตรา ไฟฉายในมือถูกฉายไปตามจุดต่างๆ ที่เป็นที่อับ หรือที่คิดว่าจะมีใครเข้าไปซ่อนตัวอยู่ได้ แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความเงียบสงัดในค่ำคืน แซก... แซก... ทว่าเสียงนกกลางคืนที่ร้องดังชัดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบก็ทำให้ผู้กองกฤษณ์ถึงกับสะดุ้งเล็กๆ ดวงตาคมวาบฉายแววหวาดหวั่นเพียงครู่ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกร้าวแกร่งดังเดิม ร่างสูงยืดขึ้นจนสุดสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อยๆ พ่นลมหายใจออกจากปากอย่างแผ่วเบา ด้วยความเป็นตำรวจและไม่เชื่อในเรื่องผีสางนอกจากสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้เท่านั้น ดังนั้นท่าทางหวาดหวั่นในสิ่งที่มองไม่เห็นก็ไม่ควรเข้ามาปะปนในหัวใจ กฤษณ์ส่ายศีรษะไปมาอย่างพยายามขับไล่ความหวาดหวั่นและแทนที่ความรู้สึกนั้นด้วยอาการขำขันตนเอง ทว่าขนกายทั่วทั้งตัวที่ลุกขึ้นตั้งชันโดยพร้อมเพรียงเมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสลมเย็นวูบหนึ่งที่แล่นเข้ามากระทบผิวก็ทำให้กายแกร่งต้องนิ่งขึง พยายามเรียกสติสตังของตนเองให้กลับคืน พลางบอกตัวเองว่าเพราะความหวาดหวั่นทำให้เขาเกิดอาการเยี่ยงนี้ มันไม่ใช่ความกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างแน่นอนที่สุด แต่จะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ เมื่อเสียงหัวเราะคิกคักที่แว่วมาตามลมยิ่งทำให้ขนทั่วทั้งตัวของเขาลุกชันมากขึ้นไปอีก เปลือกตาปิดลง พร้อมกรามแกร่งขบกันแน่นจนได้ยินเสียงไรฟันที่กระทบกันดังกึกกักด้วยความสั่น ประหม่า หรือหวาดหวั่นอย่างที่สุดเขาก็ไม่รู้ได้ รู้แต่เพียงว่า เขาไม่ควรให้ความหวาดกลัวนั้นมามีอำนาจเหนือตนเอง ในเมื่อบอกตัวเองว่าจะไม่กลัวเกรงในสิ่งนี้เขาก็ไม่ควรจะมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ในหัวใจ ทว่ายิ่งคิดก็คล้ายว่าเสียงหัวเราะนั้นจะยิ่งมีมากขึ้น และจำเพาะว่ามันดังอยู่ไม่ไกลตัวของเขาเลย “อิอิ... กลัวผีเหรอคะ” เสียงหวานๆ ที่เอ่ยทักทำให้กฤษณ์เกิดอาการหูผึ่ง พร้อมขนหัวที่พานจะลุกขึ้นไปพร้อมๆ กับขนกาย ทว่าความผิดปกติในน้ำเสียงนั้นก็ทำให้ผู้กองหนุ่มรูปหล่อต้องลืมตาขึ้นในทันที และภาพที่เห็นก็ทำให้ความร้อนพวยพุ่งกระจายวาบขึ้นสู่ใบหน้าก่อนจะเรื่อยลงมาทั้งตัว เพราะหญิงสาวรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นในชุดเสื้อผ้าลูกไม้สีฟ้าอ่อนกับผ้านุ่งสีออกน้ำเงินหรือว่าม่วงครามเขาก็เห็นไม่ชัด ด้วยความสลัวด้านล่างนั้นมีมากกว่าด้านบนที่กระจ่างสว่างอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์วันเพ็ญ หญิงสาวที่ส่งรอยยิ้มมาให้ พร้อมกับสายตามองมาอย่างต้องการคำตอบในสิ่งที่เธอถามมาเมื่อครู่ ยิ่งทำให้ผู้กองกฤษณ์ต้องเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความอับอาย แค่รู้ว่าตนเองหวาดกลัวกับบรรยากาศเมื่อครู่ก็หงุดหงิดหัวใจมากพอแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ความจริงในข้อนั้น เมื่อหญิงสาวตรงหน้าก็คล้ายจะล่วงรู้ในสิ่งที่เขารู้สึกด้วยเช่นกัน  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD