“เมื่อกี๊ป้าเห็นคุณทศอยู่แถวนี้นะคะ...ถ้ายังไงถ้าป้าเจอคุณหนูก็จะรีบบอกให้นะคะว่าคุณลีลารออยู่...เอ้อ...คุณหนูแยมหิวหรือเปล่าคะนี่ จะทานอะไรก่อนไหมคะ”
“ไม่ล่ะค่ะป้า...แยมไม่หิว”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปนั่งข้างในเถอะค่ะ คืนนี้แขกมาเยอะมาก”
“ป้านิ่มเข้าไปข้างในก่อนเถอะนะคะ แยมขออยู่แถวนี้ก่อน เดี๋ยวตามเข้าไปค่ะ”
“คุณแยม”
“คะ?”
อณัศยาเอียงหน้ามองแม่บ้านคนเก่าแก่ที่ดึงมือเรียวบางของเธอไปจับไว้ ป้านิ่มมองใบหน้ารูปไข่ใต้กรอบเรือนผมยาวดำสนิทด้วยความเพ่งพิจารณา
“ป้าพึ่งสังเกตวันนี้ชัด ๆ นะคะว่าคุณแยมสวยขึ้นมาก...เอ้อ...ป้าแค่อยากถามน่ะค่ะว่าไม่มีคุณท่านแล้ว คุณแยมกับคุณลีลาจะยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นใช่ไหมคะ”
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวเงียบไปกระทั่งป้านิ่มเอ่ยต่อว่า
“ที่ป้าถามคุณแยมแบบนี้ไม่ใช่เพราะเหตุผลอย่างอื่นหรอกนะคะ แต่ป้ากำลังคิดว่าถ้าไม่มีคุณผู้ชายแล้ว ที่บ้านของท่านทุกอย่างจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า”
น้ำเสียงของผู้พูดเจือไว้ด้วยความเป็นกังวลและฟังดูเศร้า อณัศยาเม้มริมฝีปากเข้าหากัน แววตาคู่สวยหม่นแสงลงเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“แยมกับคุณแม่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านของคุณลุงธนาดลหรอกนะคะ...เอ้อ...หลังจากนี้มันก็คงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของบ้านที่แท้จริง”
“เจ้าของบ้านที่แท้จริง?”
ป้านิ่มมีสีหน้าไม่เข้าใจกระทั่งหญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงใสเพื่อกลบความคลางแคลงใจที่เกิดขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกนะคะป้านิ่ม...แยมขอออกไปเดินเล่นแถวนี้สักแป๊บนะคะ”
ร่างแน่งน้อยรีบตัดบทและผละออกมากับความคิดที่ยังวุ่นวนในหัว หญิงสาวเดินห่างออกจากศาลาสวดอภิธรรมและตรงไปยังสระบัวซึ่งมีแสงไฟสว่างไสวแต่ปราศจากผู้คนพลุกพล่าน เธอต้องการสมาธิ จริง ๆ แล้วเธอตื่นเต้นมากต่างหากที่จะได้เจอทศรัสมิ์อีกครั้ง หญิงสาวแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่และกลัวเหลือเกินว่าป้านิ่มซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงของเขาตั้งแต่เด็กจะจับสังเกตเอาได้ กลัวป้านิ่มจะเห็นความประหม่าที่ฉายเต็มดวงตาของเธอ แต่แล้วความคิดทุกอย่างต้องหยุดชะงักลงในฉับพลันเมื่อสายตาคู่นั้นมองเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่ริมสระบัว ร่างสูงใหญ่ของบุรุษในชุดสูทสีดำสนิท แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่ในอาภรณ์แบบไหน อณัศยาก็จดจำ ใครคนนั้น ได้เสมอ
“คุณทศ...”
เสียงเรียกนั้นแผ่วเบาหากแต่เสียงฝีเท้าของหญิงสาวต่างหากที่ทำให้เจ้าของเสี้ยวหน้าคร้ามเข้มหันกลับมาและทำให้อณัศยาเห็นใบหน้าที่เธอยังจดจำได้ไม่เคยลืมเลือน ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรและนัยน์ตาคมสีสนิมเหล็กลุ่มลึกใต้ปื้นคิ้วดกหนา
“คุณทศ”
หญิงสาวเรียกชื่อนั้นอีกครั้งแต่หนนี้ดังกว่าเก่า ความตื่นเต้นและตื้นตันแล่นปรี่เข้าจับหัวใจ ร่างเล็กเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่กว่าร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรที่ข่มให้เธอดูตัวเล็กไปถนัดตา
“คุณทศกลับมาเมื่อไหร่คะ”
“ทันทีที่รู้ว่าพ่อตาย”
คำตอบสั้นห้วนและแทบไม่หลงเหลือความอ่อนหวานนั้นทำให้อณัศยาชะงักไปชั่วขณะ หญิงสาวรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างเธอและทศรัสมิ์ อะไรบางอย่างซึ่งเข้ามาแทนที่ความรู้สึกตื่นเต้นยินดีที่เกิดขึ้นแต่แรก ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในตัวผู้ชายที่เธอเคยมอบหัวใจให้เขาไปจนหมด ใบหน้าของเขายังคงเหมือนเดิม แต่แววตาคู่นั้นกลับสะท้อนประกายกล้าออกมาอย่างน่าหวั่นหวาด หญิงสาวเงียบไป เธอเองไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ จากอีกฝ่ายดังขึ้น
“จริง ๆ แล้วผมไม่ได้อยากกลับเมืองไทยถ้าไม่มีอะไรจำเป็นที่จะต้องให้กลับมาที่นี่อีก เพราะสำหรับผมแล้ว...ที่นี่แทบไม่หลงเหลืออะไรไว้ให้ผมจดจำ ไม่มีใครอยากกลับไปในที่ที่ตัวเองไม่อยากจดจำ คุณคิดอย่างนั้นหรือเปล่า อณัศยา”
ไม่มีคำตอบจากหญิงสาวที่นิ่งอึ้งเพราะแม้แต่ชื่อของเธอเขายังเรียกผิดแผกไปจากที่เคยเรียกและมันทำให้ร่างแน่งน้อยชาวาบไปถึงสันหลัง อณัศยารู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกว่าสามปีก่อนนั้นสร้างความเจ็บแค้นให้ทศรัสมิ์มากแค่ไหนหากแต่เธอก็ยังหวังไว้ลึก ๆ ในใจว่าเขาอาจอภัยให้เธอได้และเวลาจะช่วยเยียวยาบาดแผลลึกในใจของเขาให้คลายลง ริมฝีปากอิ่มคลี่ออกเป็นรอยยิ้มจาง
“แยมดีใจนะคะที่คุณทศกลับมา...”
ร่างเล็กกล่าวเสียงตะกุกตะกักเหมือนสะดุดลมหายใจตัวเองหากทศรัสมิ์ก็นิ่งเงียบ เขาเยือกเย็นและหญิงสาวก็แทบไม่กล้าสบตาที่จ้องมองมาในวินาทีนั้น เธอรวบรวมกำลังใจอีกครั้งก่อนเอ่ย
“ถ้ายังไงแยมขอตัวกลับเข้าไปที่งานศพคุณลุงธนาดลก่อนนะคะ”
“อย่าคิดว่าผมจะลืมสิ่งที่คุณกับแม่ของคุณทำไว้กับครอบครัวของผม...ผมไม่เคยลืม!”
บทที่ 2 ซาตานในคราบเทพบุตร
น้ำเสียงดุดันทำให้อณัศยาหยุดชะงัก หญิงสาวเหลียวมองชายหนุ่มซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นคนอ่อนหวานและความผูกพันระหว่างเธอกับเขาเคยแนบแน่นมากแค่ไหน ทว่าวันนี้ทุกอย่างกลับมลายหายไปจนหมดสิ้น ความเคียดแค้นยังฝังอยู่ในใจของทศรัสมิ์และมันสำแดงออกมาจานัยน์ตาสีสนิมเหล็กเข้มคลั่กคู่นั้น อณัศยายืนตัวแข็งเหมือนรูปปั้นขณะร่างสูงใหญ่สืบเท้าเข้ามาหยุดยืนใกล้ ๆ ด้วยใบหน้าปราศจากความเป็นมิตรและรอยยิ้มเหยียด
“ถ้าคิดว่าเวลาสามปีที่ผมไปอยู่ต่างประเทศมันจะทำให้ผมลืมทุกอย่างที่นี่ได้...คุณคิดผิด”