“ความรักโบยบินมาหาจนตั้งตัวไม่ติดหรือคะ เฮ้อ...ช่างเป็นคำพูดน้ำเน่าจริงๆ ทำเป็นยายสาไปอีกคนแล้ว ยายนั่นแอบรักเจ้านายที่บริษัท รักเขาข้างเดียวเหมือนข้าวเหนียวนึ่ง น้ำท่วมไม่ถึงก็แห้งเหี่ยวเฉาตาย ทั้งที่รู้ว่าเล่นกับไฟแต่ทำไมคนเราจึงโหยหากันนักไอ้ความรักเนี่ย มันเป็นแค่นามธรรม จับต้องก็ไม่ได้”
“อ้าว...ยายพลู” มาริสาผู้ถูกพาดพิงถึงส่งเสียงโวยวาย “แกวกมาพูดแขวะเรื่องฉันอีกแล้วนะ อุตส่าห์นั่งฟังเพลงเงียบๆ ถึงฉันจะได้เพียงแค่แอบรักเขาข้างเดียว แต่ก็ยังโชคดีที่ได้รู้จักกับความรักว่ามันเป็นยังไง ถึงจะไม่สมหวังแต่ก็ไม่เสียชาติเกิด และยังโชคดีที่ไม่ได้เป็นอย่างในเพลงที่นักร้องเพิ่งร้องจบนั่น”
“โชคดีตรงไหน” คนใจอคติกับความรักเอ่ยถามเสียงสูง “การแอบรักเนี่ยมันเรียกว่าโชคดีด้วยเหรอยายสา โชคร้ายล่ะสิไม่ว่า”
มาริสาขยับปากจะเถียงออกไป แต่ถูกณัฐมนขยิบตาส่งสัญญาณให้เงียบก่อนจะหันไปพูดกับหิรัญญิการ์“ฟังพี่นะพลู สักวันถ้าพลูเจอคนที่ใช่จะเข้าใจ จงจำไว้เถอะ ทุกอย่างถ้าไม่เจอกับตัวเองจะไม่รู้ซึ้งหรอกจ้ะ อยู่บนที่สูงมองอะไรได้ชัดเจนอย่างที่พลูพูดก็จริง แต่บางครั้งมันก็เหงานะ”
“พลูไม่เห็นจะเหงา” หิรัญญิการ์เถียงเสียงดัง “คอยดูสิ อีกไม่นานพี่พริ้งก็จะเป็นเหมือนยายหนิง ที่หลังแต่งงานแล้วชวนไปไหนก็ไม่ไป เพราะต้องรีบกลับบ้านไปหาข้าวปลาไว้คอยท่าสามีที่ไม่รู้ว่าจะกลับตอนไหน กลายเป็นยายเพิ้งที่แม้แต่วันหยุดยังต้องทำงานงกๆ สภาพตอนนี้ดูได้ที่ไหน”
“ยายหนิงอาจจะมีความสุขที่ได้ทำแบบนั้นก็ได้ คนเราต้องมองต่างมุม แกมองในมุมมองด้านเดียวของแกเท่านั้นนังพลู” ชานนท์พูดกับเพื่อนทว่าดวงตานั้นจ้องมองนักร้องบนเวทีตาเป็นมัน “แหม...นักร้องบนเวทีเนี่ยน่าสอยไปนอนซบชะมัด”
“อาจจะเป็นอย่างที่นนนี่ว่านะพลู” ณัฐมนพยักหน้าเห็นด้วยกับชานนท์ “เรามองว่าหนิงมีชีวิตที่วุ่นวายแต่เจ้าตัวอาจจะมีความสุขกับชีวิตอย่างนั้นก็ได้ใครจะรู้ และที่พลูว่าสภาพดูไม่ได้น่ะมันขึ้นอยู่กับคนคนนั้นต่างหาก เพื่อนพี่หลายคนหลังแต่งงานก็ยังใช้ชีวิตเป็นปกติ ทุกอย่างอยู่ที่การจัดสรรเวลาเท่านั้นเองจ้ะ”
ดวงหน้าสะสวยของหิรัญญิการ์ที่ตอนนี้แดงก่ำเพราะร่ำสุราเข้าไปหลายแก้วเผยรอยยิ้มหมิ่นๆ
“เอาเถอะ ใครจะมีความสุขก็มีไป แต่พลูยินดีที่จะไม่เลือกมีความสุขแบบนั้น ขอมีความสุขในรูปแบบของตัวเอง”
ณัฐมนมองรุ่นน้องสาวแล้วยิ้มกว้าง เพราะเมื่อก่อนตัวเธอก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่อะไรในโลกนี้เป็นสิ่งไม่แน่นอน ด้วยมักจะมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ อีกฝ่ายยังไม่เจอความรักเกิดขึ้นจังๆ กับตัว ตอนนี้จะพูดอะไรก็ย่อมได้
สักวันเมื่อถึงวันนั้น...จะหลงลืมว่าเคยพูดอะไรไว้
ขณะเดียวกันบนชั้นลอยของผับหรูซึ่งเป็นโซนที่จัดไว้สำหรับแขกวีไอพี เจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาที่กำลังเป็นเทรด์รนด์นิยมของฌอนระบายด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ชายหนุ่มแต่งกายอยู่ในชุดกางเกงสแล็กสีเข้มกับเชิ้ตสีชมพูอ่อนพับแขนเหนือข้อศอกทั้งสองข้าง นั่งเอนกายด้วยท่วงท่าสบายๆ อยู่บนโซฟาตัวหนานุ่มซึ่งตั้งอยู่ริมสุด
โดยถือแก้วบรรจุน้ำสีเหลืองอำพันอยู่ในมือ ตัวเขาถูกทักษกรผู้เป็นพี่ชายของภรรยาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ชักชวนมานั่งดื่มเหล้าที่นี่ซึ่งเป็นผับประจำของอีกฝ่าย
เป็นเพราะหน้าตาหล่อเหลาชวนมองของชายหนุ่มทั้งคู่ แม้จะอยู่ในท่านั่งไขว่ห้างก็รู้ว่าเป็นคนรูปร่างสูงจากช่วงขาเพรียวยาว ปัจจุบันชายหนุ่มในอุดมคติของหญิงสาวความสูงต้องมาเป็นอันดับแรกส่วนหน้าตานั้นให้ถือว่าเป็นแต้มบุญ
จึงไม่แปลกที่ชายหนุ่มทั้งคู่จะตกเป็นเป้าสายตาของทั้งชายไม่จริงและหญิงสาวแท้ในผับ ที่ต่างชายตาเมียงมองทอดไมตรีส่งมาให้ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะคนหนึ่งก็ได้แต่นั่งหลับตานิ่งหรือไม่ก็สนใจแต่แก้วเหล้าในมือ ส่วนอีกคนกำลังใช้สายตาคมจ้องไปยังด้านล่างราวกับมีอะไรน่าสนใจอยู่ที่นั่น
“มองอะไรอยู่หรือครับคุณกร”
ฌอนถามผู้เป็นพี่ภรรยาด้วยความสงสัย เพราะยามมองไปยังอีกฝ่ายทีไรก็เห็นสายตาของเจ้าตัวจับจ้องอยู่ด้านล่างทุกครั้งไป หลังงานแต่งงานของเขากับขวัญชีวาผ่านพ้นมาแล้วนานนับเดือน ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ จะเรียกว่าดีกว่าเมื่อก่อนจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ย่อมได้
ในจำนวนพี่ชายทั้งสามของภรรยา ทักษกรเป็นผู้ที่ออกอาการหวงน้องสาวกับเขามากที่สุดจนถึงขั้นเคยไล่เขาออกจากบ้านในครั้งแรกที่เหยียบย่างไปที่นั่น
“เอ้อ...เปล่าหรอก ก็มองไปเรื่อยเปื่อย”
หนึ่งในสามเสือแห่งตระกูลอริยะสัตย์บอกน้องเขยน้ำเสียงเรียบ มีเพียงนัยน์ตาคมกริบเท่านั้นที่ยังคงมีประกายวูบไหวปรากฏให้เห็น สาเหตุมาจากการเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่โต๊ะข้างล่าง ซึ่งดึงดูดสายตาของเขาจนไม่อาจละจากตรงนั้นได้