เมื่อนึกถึงสีหน้าตกใจของชายหนุ่มที่เธออ้วกใส่ ทั้งแอบนึกสมน้ำหน้าไปด้วยจากความหมั่นไส้ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะได้ยินเพื่อนสนิทพูดชื่นชมอีกฝ่ายให้เธอฟังอยู่บ่อยๆ จนเธอคร้านจะฟัง หวังว่าวงจรชีวิตของเขากับเธอคงไม่โคจรไปเจอกันอีกหรอกนะ
อย่าได้เจอกันอีกเป็นดีที่สุด
แต่...คนกำลังนึกภาวนาคงลืมไปว่า น้องสาวของคนที่กำลังนึกถึงอยู่นั้นเป็นน้องสะใภ้ตนเอง
“เอ้อ...เกือบลืมบอก เมื่อตอนค่ำพอคุณพลูออกไปนะคะก็มีลูกค้าเข้ามาสั่งขนมบุหลันดั้นเมฆกับช่อม่วงอย่างละห้าสิบกล่องแน่ะค่ะ บอกว่าจะเอาไปเป็นอาหารว่างงานเลี้ยงน้ำชา”
“จริงหรือจ๊ะ ดีใจจัง”
เจ้าของร้านสาวพูดด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ เพราะนับตั้งแต่เปิดร้านเมื่อหลายเดือนก่อน สำหรับทางด้านกาแฟนั้นได้รับคำชมว่ารสชาติดีอร่อยกลมกล่อม เพราะตัวทิพวรรณถูกเธอส่งไปเรียนรู้เทคนิควิธีและเคล็ดลับการชงกาแฟจากบาริสตามืออาชีพ ที่เปิดสอนอยู่ในโรงแรมใหญ่ระดับห้าดาวอยู่หลายวัน และก่อนจะทำการเปิดร้านอย่างเป็นทางการ หิรัญญิการ์ก็เกณฑ์เพื่อนฝูงมาเป็นหนูทดลองของจริง ทำการปรับปรุงรสชาติทั้งเพิ่มและลดสูตรที่ได้มาจนได้ที่
แต่สำหรับขนมชาววังยังไม่เป็นที่นิยมนัก อาจเป็นเพราะคนดื่มกาแฟมักจะนึกถึงเค้กมากกว่า กระทั่งหญิงสาวต้องมีชาชนิดต่างๆ บริการเป็นของแถมให้พร้อมขนม หลังจากนั้นอาจเป็นเพราะพูดกันปากต่อปาก ลูกค้าที่เข้าร้านมาใครชอบดื่มชากับขนมไทยก็เลือกเดินเข้าทางด้านขวามือ ส่วนใครอยากดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟก็แยกไปทางซ้ายมือ
“คุณพลู... คุณพลู ทำไมเงียบไปล่ะคะ”
เสียงเรียกพร้อมทั้งแรงสะกิดที่แขนทำให้คนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดรู้สึกตัว
“ฉันกำลังคิดถึงวันที่ร้านเปิดใหม่ๆ น่ะ ตอนนั้นประตูทางขวามือแทบจะไม่มีใครเปิดเข้าไปเลยนะ”
ทิพวรรณหัวเราะคิกพลางพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิคะ มีแต่คนเข้ามาดื่มกาแฟและถามหาแต่เค้ก แต่ไม่มีใครสนใจขนมไทยๆ เลยสักคน”
“ดีนะที่ร้านไม่ต้องเสียค่าเช่าเหมือนที่อื่น ไม่งั้นเจ๊งไม่เป็นท่าแน่นอน”
หิรัญญิการ์พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เพราะร้านกาแฟที่เธอยืนมองอยู่ในขณะนี้นั้น เมื่อก่อนเป็นทาวน์โฮมของผู้เป็นยายที่ให้ชาวต่างชาติเช่าทำบริษัท แต่ครั้นหมดสัญญาเจ้าตัวก็ไม่ยอมให้ต่อ หญิงสาวจึงเอ่ยปากขอสองห้องแรกมาทำร้านกาแฟ โดยการรีโนเวทให้เป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ส่วนที่ถัดไปจากเรือนไทยที่ยังเหลืออยู่อีกสองห้อง เธอคิดว่าในอนาคตอาจทำเป็นสำนักงานรับตกแต่งภายในเป็นจ๊อบๆ ไป เพราะแม้จะลาออกมาแล้วแต่ก็อดเสียดายอาชีพที่ร่ำเรียนมาไม่ได้
“นั่นสิคะ แต๋นบอกคุณท่านไปแล้วนะคะเรื่องขนมที่ลูกค้าสั่ง”
คุณท่านที่พูดถึงคือนางพุดแก้วนั่นเอง เพราะตัวทิพวรรณนั้นเป็นลูกหลานคนเก่าคนแก่ในบ้านไม่ใช่ใครที่ไหน ซ้ำยังเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีจึงมอบให้อีกฝ่ายอย่างเปี่ยมล้น เพราะเห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย
“คุณยายคงดีใจมากที่ได้มีอะไรทำ”
“ใช่ค่ะ คุณท่านทำขนมอร่อยออกค่ะ ตอนนี้มีคนสั่งออร์เดอร์ขนมไทยชาววังทุกวัน แต่เมื่อวานเยอะที่สุด” ทิพวรรณบอกคนเป็นเจ้านายก่อนคิ้วจะขมวดเข้าหากัน “ทำไมหน้าตาคุณพลูเหมือนคนอดนอนเลยล่ะคะ”
หิรัญญิการ์เผลอยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองไปมา อยากจะบอกออกไปนักว่าเมื่อคืนกว่าเธอจะข่มตาให้หลับได้ก็เกือบสว่าง สาเหตุมาจากภาพที่เธอทำเรื่องขายหน้าอ้วกใส่ทักษกรนั่นแหละ แม้จะพยายามมองเรื่องที่ตัวเองทำไปให้เป็นเรื่องขบขันกึ่งสะอกสะใจก็ตาม แต่ในความเป็นจริงภาพที่ว่านั่นตามหลอกหลอนเธอจนนอนแทบไม่หลับ
“ก็เมื่อคืนไปงานเลี้ยงแล้วดื่มเหล้าเข้าไปไงแต๋น นานๆ กินทีเลยนอนไม่ค่อยหลับ” หญิงสาว
กล่าวโทษเหล้ากลบเกลื่อน
“อ้อ...ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแต๋นทำมะปี๊ดโซดาให้กินนะคะ”
“มะปี๊ดโซดา!” หิรัญญิการ์อุทานเสียงสูง “เคยได้ยินแต่มะนาวโซดา”
ทิพวรรณหัวเราะคิกก่อนจะเดินนำเจ้านายสาวเข้าไปภายในร้านทางด้านซ้ายมือ ตรงดิ่งไปยัง
เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม
“คืออย่างนี้ค่ะ พนักงานใหม่สองคนที่แต๋นเพิ่งรับเข้ามาทำงาน หนึ่งในนั้นชื่อนิดหน่อยมาจากจังหวัดจันทบุรี”
หิรัญญิการ์พยักหน้า หญิงสาวเพิ่งนึกได้ว่าเป็นคนเอ่ยปากให้อีกฝ่ายหาคนมาช่วย จากตอนแรกที่คิดว่าอยู่กันแค่สองคนคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงแต่ด้วยลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิมทำให้ต้องหาคนมาเสริม
“แล้วเกี่ยวอะไรกับมะปี๊ดโซดาที่พูดถึงนี่ล่ะแต๋น” คนถามเดินไปเปิดแอร์ในร้านเพราะอีกไม่นานก็จะเปิดร้านแล้ว จากนั้นจึงเดินมาทรุดนั่งลงตรงสตูลหน้าเคาน์เตอร์
“คุณพลูรู้จักส้มจี๊ดไหมคะ” ทิพวรรณไม่ตอบแต่ย้อนถามขึ้นมาแทน
“รู้จักสิ คล้ายส้มแต่ลูกเล็กมากกว่า”
“นั่นแหละค่ะ คนกรุงเทพฯ จะรู้จักชื่อส้มจี๊ด แต่ถ้าเป็นคนเมืองจันท์จะเรียกว่ามะปี๊ดค่ะ นิดหน่อย
บอกว่าที่บ้านใช้มะปี๊ดทำกับข้าวเช่นพวกต้มยำ ต้มส้ม จะมีรสชาติอร่อยกว่ามะนาว เพราะมะปี๊ดมีทั้งความเปรี้ยวและหวานขณะที่มะนาวเปรี้ยวอย่างเดียว” พูดพลางทำน้ำมะปี๊ดโซดาให้เจ้านายไปด้วยซึ่งใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อยแล้วยื่นส่งให้ “เดี๋ยววันนี้แต๋นจะลองให้ลูกค้าชิมเป็นของแถมค่ะ”