ตอนที่ 12
“เสี่ยวชิง รู้หรือไม่โทษของเจ้าคือประหารดีที่ว่า กงจู่เป็นผู้มีจิตใจดีงามลงโทษเจ้าเพียงแค่ตบปากเท่านั้น หากเป็นเปิ่นกงแล้ว กระบี่ที่องค์ชายรองถือมาคงจะสะบั้นคอของเจ้าลงพื้นเป็นแน่” มือนุ่มนิ่มของมารดานั้นก็กอบกุมมือนุ่มนิ่มของบุตรีเชิงปลอบประโลมไว้
“เปิ่นกงเห็นว่าเจ้าพูดจาดูหมิ่นเกียรติขององค์หญิง เช่นนั้นเจ้าก็สมควรถูกลงโทษสถานหนัก เห็นแก่ที่เจ้าสร้างความสำราญให้แก่ไท่จื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ขับไปอยู่โรงซักล้างท้ายวังห้ามเสนอหน้ามาที่นี่อีก
หากพบเห็นเจ้านอกจากโรงซักล้าง ประหารได้ทันที เสี่ยวเถาไปแจ้งแก่เจ้ากรมราชวังไว้” คำเอ่ยเด็ดขาด สร้างความพึงพอใจให้แก่เถาม่านหลิวยิ่งนัก ขันทีก็ลากเสี่ยวชิงออกไปทันทีตามคำสั่งของมารดาแผ่นดิน
กำจัดนางกำนัลผู้นี้ไปได้แล้ว และพี่สะใภ้นางจะได้มีความสุขเสียที หากมีหลานตัวน้อยๆ ให้นางได้อุ้มชูบ้างคงจะดีไม่น้อยเลย ส่วนพี่ใหญ่หรือมิอยากจะมองสักนิด แต่ก็ไม่ได้ นางจะชำระความ “ท่านแม่ พี่ใหญ่มักชอบเที่ยวหอคณิกา มิสนใจพี่สะใภ้ลูกขอพระราชทานอนุญาตให้ท่านแม่ลงโทษพี่ใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ”
ถ้อยคำหวานนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะของไท่จื่อไม่มีผิด ‘ซวยแล้ว ซวยแน่ๆ งานนี้ น้องสามกัดไม่ปล่อย’ ไท่จื่อผินหน้าทำตาเลิ่กลั่กยื่นปากทำหน้ายู่ยี่ใส่น้องเขยผู้เย็นชาที่ดูตอนนี้มุมปากของเจ้านี้ยกยิ้มเย้ยหยันเขา ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ’
ไท่จื่อตีหน้าบึ้งส่งให้น้องเขยที่ยิ้มเยาะเย้ยหยันเขา พลันใบหน้าเศร้าสลดกะพริบตาปริบๆให้น้องสามของเขา
องค์ชายรองหรือพี่รองของเถาม่านหลิวนั้นกลับยกยิ้มอย่างพึงใจ “ท่านแม่ต้องลงโทษพี่ใหญ่ให้หนักๆ ดูสิพาน้องเขยหนีเที่ยวจนเสียคน แถม...น้องสามมือนั้นมีบาดแผลอีกด้วย เช่นนี้ลูกเห็นว่ากักบริเวณที่ใหญ่ให้อยู่ในพระตำหนักกับพี่สะใภ้ดีหรือไม่ขอรับ” ผู้ที่เอ่ยช่วยสนับสนุนนั้น วาวตาวาววับทันที มีหรือเขาจะปล่อยพี่ชาย ลอยนวนไม่มีทางเสียหรอก
โทษฐานที่ทำให้น้องน้อยของเขาที่เฝ้าตามใจ ทะนุถนอมนางราวกับไข่ในหิน ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม แต่พี่ชายนั้นมักชอบทำตรงกันข้ามกับเขาอยู่เป็นประจำ อีกทั้งยังชอบชวนน้องเขยกระทำตัวเหลวไหลจนเป็นเหตุให้น้องน้อยทะเลาะกับสามีของนางเช่นนี้เห็นทีจะปล่อยผ่านไม่ได้
ผู้ที่ถูกพาดพิงนั้นกลับมีสีหน้าซีดไปหลายส่วนเพราะน้องรองของเขาดูแล้วว่าคราวนี้เล่นงานเขาหนักเกินไปให้อยู่ในตำหนักกับไท่จื่อเฟยหรือ แล้วเขาจะทำเช่นไรดีเล่า แต่งงานกับนางมาแต่นางนั้นทำตัวราวกับเทพธิดาเดินดิน ช่างเป็นสตรีในห้องหอเหลือเกิน ทุกอย่างล้วนงดงามกระทั่งคำพูด
เขาจึงไม่แน่ใจว่าไท่จื่อเฟยนั้นเสแสร้งแกล้งทำเป็นเข้าใจเขาหรือไม่จึงได้ทำตัวเหินห่างกับนางไปและเรื่องที่เกิดขึ้น คงจะมีส่วนมาจากนางก็เป็นไปได้ เช่นนั้นคงต้องชำระความกับนางเสียกระมัง
“ก็ดีนะเจ้ารอง” พระมารดาผินหน้ารับฟังความคิดของบุตรชายคนรอง และจากนั้นก็ผินหน้าหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง
“เช่นนั้นไท่จื่อแม่ผู้นี้ของสั่งให้เจ้าพักงานราชการเป็นเวลาสามวัน วันจัดงานต้อนรับขององค์หญิงแคว้นชิงก็ให้เจ้าพาลูกสะใภ้ของแม่มาด้วยเล่าเข้าใจหรือไม่ไท่จื่อ”
คำเอ่ยสนทนานั้นทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถปฏิเสธได้เลย ไท่จื่อหรือพี่ใหญ่นั้นถึงกลับนิ่งงัน อึ้งมิคิดว่ามารดาจะเล่นเขาแรงขนาดนี้ ใบหน้านิ่งเรียบนั้น คำว่าลูกสะใภ้นั้นเหมือนกับคำประกาศิตที่ประกาศออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
“ขอรับท่านแม่” ไท่จื่อก้มหน้ารับคำอย่างว่าง่าย แต่ให้เขาอยู่กับภรรยานั้นก็ยากยิ่งคราวนี้เห็นทีว่าจะต้องสั่งสอนนางให้เข็ดหลาบเสียบ้างจะได้ไม่ต้องฟ้องเรื่องเช่นนี้ให้ใครต่อใครต้องมาจัดการ ‘น่าชังยิ่งนัก’
ส่วนท่านแม่ทัพนั้นก็คุกเข่ารอรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกัน “เอาละเมื่อเรื่องของไท่จื่อจบลงแล้วก็ถึงคราวของเจ้าแล้ว พ่อลูกเขยตัวดีว่าอย่างไร ทำไมเจ้าถึงหัวแตกอีกทั้งหลิวเอ๋อถึงได้มีแผลที่มือ”
ฮองเฮาตรัสถาม เสมือนว่าเขาจะตอบอย่างไรดี ความคิดก็ตีกันสับสนไปหมดหากจะโทษว่าพี่ใหญ่พาไปเกรงว่างานจะงอกอีก แล้วหากว่าภรรยานั้นมักทำตามใจตนเองหึงหวงมากเกินไปก็คงจะไม่งาม เห็นทีต้องรับโทษเพียงผู้เดียวกระมัง
“ท่านแม่เจ้าค่ะ” เสียงอ่อนหวานนั้นทำให้มารดาต้องผินหน้ากลับมามองใบหน้าที่หวานล้ำพลางแย้มยิ้มใส่ พระทัยของพระนางนั้นอ่อนระทวยลง ใบหน้าจิ้มลิ้มนี่มองอย่างไรก็ไม่เคยเบื่อหน่ายสักครั้งเดียว
“ว่าอย่างไรลูกรัก” คำว่าลูกรักนั้นทำให้พี่ใหญ่ อดหมั่นเคี้ยวน้องสาวตัวดีไม่ได้ เขาหน้าบึ้งพลางถลึงตากลอกตาไปมาใส่น้องสาวที่จ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
‘เอาสิได้ทีแล้วนี่พี่ผู้นี้ไม่มีความหมายหากรู้เช่นนี้เอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็กแล้วหึ’ ไท่จื่อนั้นจำเป็นต้องคุกเข่าปั้นหน้าเพื่อให้พระมารดาสบายใจ
‘ใช่เขาเป็นลูกชังส่วนนางเป็นลูกรัก น่าขันยิ่งนัก’ มุมปากกระตุกถี่ยิบทีเดียว เขาอิจฉาน้องสาวหรือ เปล่าเลยเพียงแค่หมั่นไส้เท่านั้น
“เรื่องทั้งหมดลูกจัดการแล้วเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วหากคราวหน้าท่านพี่หนีเที่ยวอีกเขาจะมอบหัวน้อยๆ ของเขาให้ลูกตัดสิ้นเสียบหัวประจานเจ้าค่ะ”
คำพูดที่ออกจากปากสตรีงดงามปานล่มแคว้นนั้นทำให้ฝ่ายสามีถึงกับหน้าดำหน้าแดงทีเดียว ภายใต้หน้ากากปีศาจสีแดงที่ตอนนี้ดูท่าว่าดวงตาภายใต้หน้ากากนั่นจะวาวโรจน์ ขึ้นไปหลายส่วน มุมปากกระตุก คิ้วก็ยกขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ‘เห็นทีว่ากลับไปที่จวนเมื่อไหร่จะลงโทษไม่ให้ลุกจากเตียงเสียให้เข็ด ฮึ’
“น้องเขยเจ้ากล้ามากที่มอบศีรษะให้น้องสาวของข้า ข้าของปรบมือให้เจ้า” องค์ชายรองแกล้งเย้าขึ้น เขาอายุน้อยกว่าสามีของเถาม่านหลิวสองปี แต่เขาเป็นพี่ชายของภรรยาเขาเช่นนั้นเขาจึงวางอำนาจกดข่ม พี่ชายผู้นี้ได้ (ท่านแม่ทัพ) และมักจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า
ก่อนที่เขาจะแต่งงานกับน้องสามนั้นท่านแม่ทัพมักจะกลั่นแกล้งองค์ชายผู้นี้อยู่เป็นระจำเพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าองค์ชายรองผู้นี้มักเกียจคร้าน ชอบร่ำสุราเคล้านารี แต่พระมารดาอีกทั้งพระบิดาไม่ทรงทราบ พี่ชายทั้งสองปิดเรื่องไว้จนทุกวัน พี่ใหญ่ก็มักจะลากตัวเขาเข้าเรียนอยู่เสมอ ส่วนญาติผู้พี่ก็มักจะถากถางพูดจาดูหมิ่นเขาเป็นประจำ