ตอนที่ 1
ท้องหล่อนไม่ทำแท้งหรอก ไม่แต่เรียกหาคำพูดหาใดๆมากล่าวอีก เหมือนลมที่ผ่านไปแล้วผ่านเลยหล่อนไร้การรับผิดชอบหรือไร ไม่นี่เพราะไม่เคยเกิดขึ้น นี่หรือความรักความสัมพันธ์เกิดขึ้นรวดเร็วและก็จบสิ้นไป มันช่างง่ายดายนัก ในความคิดของเมนิกา หล่อนไม่นึกถึงเขาอีกแล้ว นอกจากกลายเป็นคนอื่น
แต่หล่อนก็อุ้มท้องลูกของผู้ชายที่เขาไม่รับรู้เรื่องนี้เลย
เด็กใช่หล่อนคิดอย่างนี้ความคิดของเด็กๆกับแรกรักที่หวานชื่นอ่อนต่อโลกสารพัด
ที่เมนิกาจะยัดเยียดใส่สมอง เพื่อให้รู้ว่า นั่นคือชีวิตของหล่อนที่ผ่านมามีลูกเลี้ยงลูกโดยไร้สามี
แน่ล่ะ หล่อนสตรองเสมอ ผู้หญิงเก่งถ้าหากหวนไปหาอดีตแแล้วหล่อนต้องการไหม ตอบไม่ได้หรอกเพราะเป็นการพัดพาของโชคชะตาขีดลิขิตหล่อนเชื่อสิ่งนี้เชื่อสิ่งที่ตัวเองอยู่ในปัจจุบัน มากกว่าจะกลับไปจมปลักกับอดีตที่ปวดร้าวในบางครั้ง
เมื่อหล่อนเลือกเขาและเขาเลือกหล่อนแล้ว เด็กที่เกิดมีความหมายเสมอ เขาเป็นของหล่อน เขาจะทิ้งขว้างเหมือนขยะก็ตาม และหล่อนสามารถทิ้งเขาได้เหมือนขยะมองเห็นเขาเหมือนหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งได้
แต่หล่อนจะไม่มีวันมองลูกในไส้ที่คลอดออกมาแล้วเป็นอย่างนั้น เมนิกายังคงทำงานเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่โปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ ที่ออสเตรเลีย แต่ต่อไป อาจจะมีการย้ายงานของหล่อนไปที่ฮออลแลนด์ ในเร็วๆนี้
“เมนี่”
มีเสียงเรียกดังอยู่หน้าบ้านพัก ใครกันมาเรียก เมนิกายังไม่คุ้นสักเท่าไหร่ นี่คือหอพักในเมืองนี้ที่หล่อนเข้ามาอาศัยได้ไม่ถึงอาทิตย์ และเป็นที่ทำงานใหม่ด้วย
มีดอกไม้สะพรั่งบนแปลงที่ปลูกอยู่หน้าหอพัก สีแปลกตา ทั้งสีม่วงสีฟ้าสีครามอ่อนๆ หล่อนเรียกชื่อดอกไม้เหล่านี้ไม่ถูก แต่จำได้ว่ารู้จักเพียงต้นเดียว ดอกช่อสีม่วงครามนั่นตูมและเบ่งบาน คือ ไฮเดรนเยีย กับลิ้นมังกรฝรั่ง
ไกลจากนี้อีกหน่อยเป็นคลองน้ำ มีต้นแคฝรั่งต้นใหญ่ เพราะเป็นเขตสวนสาธารณะ อังเดรนั่นเอง เพื่อนสนิทในที่ทำงาน
“ว่าไงอังเดร”
“ตื่นเช้าด้วยกันสิ วิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ”
อังเดรออกปากชวนอยู่ข้างล่าง
“ไม่ล่ะ ฉันเพลีย ต้องการพักผ่อน วันนี้วันหยุดด้วย ขอตัว”
หล่อนจะต้องเลี้ยงลูก ไม่มีใครดูแล ไม่ตอบอะไรเขามากมายนัก ผละจากเขาและอังเดรก็ก้าวเท้าจากไป หล่อนยังไม่อยากตื่น ลูกหลับสบายอยู่บนที่นอน แม้ยามเช้าจะอากาศบริสุทธิ์ แต่เมื่อกลางดึกลูกก็กวนและโยเยไม่น้อย
จนหล่อนต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ใหม่ คราวนี้ เด็กชายฟารุธ หลับยาวเลยไม่อยากปลุกให้ตื่น มีข่าวคราวจากเมืองไทยอีกมั๊ย
คงไม่มีข่าวคราวที่ไม่ดี ให้หล่อนขวัญเสียอีกแล้วนะ
เพราะเรื่องพ่อป่วย ยังตงิดในใจ พ่อเผ่าของหล่อน นายทรงเผ่าข่าวคราวเมื่อสามเดือน
ที่แล้วเมนิกาปิดเรื่องราวหมดทุกอย่าง เรื่องที่หล่อนตัดสินใจเป็นแม่ของลูกชายโดยไม่แยแสคำว่าสามี ผู้ชายไร้การรับผิดชอบคนนั้นหล่อนไม่คิดจะเรียกร้องสิ่งใดจากเขาทั้งสิ้น ผิดพลาดพลั้งไปแล้ว คือ พลาด มันเป็นบทเรียน เขากลับไปเมืองไทยแล้ว
ทำไมต้องมีเหตุการณ์แบบกะทันหันหนอ หล่อนตกใจอย่างมาก ความคิดที่จะไม่เดินทางกลับประเทศไทย ทันทีที่ทราบข่าวจากการแจ้งผ่านอีเมล์มาว่า พ่อของหล่อนเสียชีวิตแล้ว ดังนั้นโครงการในหัวต่างๆของสาวซิงเกิลมัม เป็นอันต้องพับฐานไปเพื่อคิดหาหนทางใหม่ ต่างประเทศเห็นทีจะต้องโบกมืออำลา
เพราะในฐานะบุตรสาวคนหนึ่ง หล่อนจะกลับไปรับมรดกพกสถานของบิดา ถึงแม้จะทราบดีว่า ท่านมีภรรยาใหม่ แต่ไม่ได้จดทะเบียนด้วยกัน
หล่อนเสียใจอย่างหนัก ที่เมื่อทราบข่าวนี้ อีกอย่างข่าวคราวการปกปิดของตัวเองสำหรับในครอบครัว ที่ไม่เคยรู้เลยว่า เมนิกานั้นไม่ใช่สาวโสดแล้ว
ถึงแม้หล่อนไม่ได้ผ่านการจดทะเบียนแต่งงาน แต่หล่อนก็มีลูกแล้ว แถมคนเป็นสามีก็หายหัวหายหน้าไปจากชีวิตเสียด้วย ชีวิตของหล่อนมันเส็งเคร็งมากพอประมาณแล้วล่ะ
เริ่มลำดับเรื่องราวที่จะทำ เพราะถึงยังไงหล่อนจะต้องเขียนจดหมายลาออกเป็นการล่วงหน้า เพราะเรื่องนี้เรื่องใหญ่
มีเค้าแนวโน้มว่าหล่อนคงจะกลับมาอยู่ที่ต่างประเทศไม่ได้ เพราะภาระทุกอย่างรอหล่อนอยู่ที่โน่นหมด ตอนบิดายังมีชีวิตอยู่หล่อนอาจจะเบาใจ ใช้ชีวิตลัลล้าไปได้
เพราะบิดายังแข็งแรง และบริหารงานเกก่ง ใครจะไปนึกเลยว่า บิดาของหล่อนที่มีวัยเพียงห้าสิบสี่ปี ท่านจะอายุสั้นถึงเพียงนี้ แตกต่างไปจากภรรยาใหม่ของบิดา คุณเอมอร ที่มีอายุมากกว่าบิดาถึงห้าปี และอีกอย่าง เอมอรเคยเป็นเลขาของบิดามาก่อน
หล่อนคิดสะระตะไปหมด หยิบพาสปอร์ตของตนเองตรวจดูความเรียบร้อย ทางด้านเอกสารที่หล่อนจะต้องไปติดต่อที่สถานทูตของประเทศแห่งนี้ เพื่อแจ้งจำนงในการเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ ที่แน่ๆหล่อนกำลังซ่อนเรื่องราวส่วนตัวไว้อย่างมิดชิด คนที่หล่อนนึกถือคือ เพื่อนรักที่เมืองไทย มิชิดา
“มิชชี่แกช่วยหาจองโรงแรมไว้ให้ฉันหน่อย อีกสองวันฉันจะกลับไทย แล้วเรื่องส่วนตัวของฉันบอกใครไม่ได้เลยนะ แกไปรอฉันอยู่ที่ห้อง ฉันจะเอาตาหนูไปไว้ที่นั่น”
“เออ ฉันรับปาก” เสียงสายทางนั้นบอกมา
“ถ้าแกกลับมาถึงเมื่อไหร่ ค่อยบอกฉันอีกที จะได้ส่งคนไปรับ”
“ก็ได้ ขอบใจแกนะ ที่เป็นที่พึ่งของฉัน”
เมนิกาเอ่ยตอบแล้วก็วางหู หันมาพูดกับตัวเองแบบบ่นพึมพำไปถึงบุตรชายที่วัยไม่ถึงห้าขวบ
“เราจะกลับเมืองไทยแล้วนะ ฟารุธ” ที่นี่คงจะกลายเป็นอดีตแล้วล่ะ ชีวิตของฉัน ทำไมต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เข้ามาชนอลหม่านกันด้วยนะ รู้สึกว่า จะมาเจอเรื่องวุ่นวายไม่สร่างซาสักที
กลับมาถึงเมืองไทยอย่างนี้ อันดับแรกพบเผชิญกับญาติพี่น้อง ที่บางคนยังจำหล่อนได้ ถึงกับอุทานออกมา
“หนูเม”
คราวนี้พากันหันมาทางหล่อนเป็นตาเดียว จากสตรีสูงวัยซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ
เพราะเมนิกาก็ไม่ได้สนิทกับญาติคนไหน หล่อนพาตัวไปอยู่เมืองนอกเสียตั้งนาน เป็นการขาดหายและห่างจากบรรดาญาติด้วย
ชีวิตของเมนิกาเหมือนอยู่คนเดียว หล่อนต่อสู้ชีวิตอยู่คนเดียว ทุกข์สุขก็เป็นเรื่องที่หล่อนรับรู้คนเดียว
สายตาของทุกคนที่มองมายังเมนิกา นั้นดูว่าหล่อนเย่อหยิ่งและไว้ตัว ความจริงเมนิกาเป็นแบบนี้มานานแล้ว
หล่อนมาในฐานะของทายาท ที่จะมารับมรดกของบิดา ร่วมกับพี่ๆและน้องๆ ซึ่งคนอื่นๆในบรรดาพี่น้อง ก็ไม่ได้สนใจมากมายเท่าที่ควรนัก เพราะทรัพย์สมบัตินั้นถูกแบ่งไปหมดแล้วให้บรรดาลูกๆ
บิดาของหล่อนทำเสร็จสรรพเรียบร้อยก่อนท่านจะเสียชีวิตอีก ถึงแม้ผู้หญิงอีกคน ที่ถือว่าเป็นเมียใหม่ของพ่อจะเรียกว่าแม่เลี้ยงด้วยก็ได้ แต่เมนิกาไม่เคยรับรู้ สายตาของคุณเอมอรก็เช่นกัน
นางมองเห็นเมนิกาและลูกคนอื่นๆของสามีนั้นด้วยสายตาที่ไม่พึงพอใจ ยิ่งการปรากฏตัวของเมนิกาก็เหมือนกับเสี้ยนหนามตำใจ ทีแรกหล่อนคิดว่า เมนิกาจะโง่เง่าไม่กลับเมืองไทย แต่หล่อนคาดคิดผิด นังเมนิกาฉลาดกว่ามาก
หล่อนจุดธูปพร้อมกับบอกกล่าวแก่บิดาของหล่อนผ่านในใจเรื่องราวทั้งหมดที่หล่อนอยากจะสารภาพ