กลับมาถึงเมืองไทยแล้ว คือโลกใบใหม่ที่คืบคลานเข้ามา การจากลาไปอยู่ต่างประเทศนานถึงสิบห้าปี ณปัจจุบัน สภาพแวดล้อมและท้องถนนที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคจนจำเค้าเดิมไม่ได้
ซึ่งเมื่อก่อนแถบนี้เคยเป็นทุ่งนาทางภาคตะวันออกของกรุงเทพ มิชิตา หรือมิชชี่ กับเพื่อนเอารถเก๋งมารับหล่อนกับลูกไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
“ฉันเช่าจองให้แกครึ่งเดือน ดีมั้ยล่ะ”
ดี เพราะฉันไม่ต้องการไปปรากฏตัวให้ทุกคนได้เห็น สิ่งที่ต้องการปิดบังสำหรับเมนิกา หล่อนคิดว่า ยังอยากจะปิดบังต่อไป ห้องสี่เหลี่ยมที่ค่อนข้างหรูหราเรียกว่าตกแต่งแบบทันสมัยใหม่
เมื่อก่อนนี่ถือว่าเป็นย่านชานเมือง หากเมื่อความเจริญรุกเข้ามาแถบนี้ทำให้แถวย่านถนนอ่อนนุชและพัฒนาการ กลายเป็นความเจริญทันสมัยไม่ผิดแผกจากกรุงเทพชั้นในสมัยก่อน
“ฉันเสียใจด้วยนะ ที่พ่อแก แต่คิดอะไรหรือเปล่า
เมนิกาฉงนพร้อมกับตั้งใจฟัง
“ฉันคิดอะไรหรือ เปล่านี่”
“คือพ่อแกตายเร็วเกินไป ฉันเคยเห็นท่านเมื่อหลายเดือนก่อนยังแข็งแรงอยู่”
มิชิตาพูดไปตามสายตาที่มองเห็น เพราะอยู่เมืองไทยนั้น เมนิกาไหว้วานเพื่อนคนนี้ช่วยเป็นหูเป็นตาแวะเวียนไปเยี่ยมครอบครัวของหล่อน
โดยจุดประสงค์หลัก ช่วยดูแลบิดาของหล่อน ที่ไม่มีใครเลย ทายาทคนอื่นๆ พี่ชายก็ไปอยู่ต่างจังหวัดเสียหมด ทุกคนร่ำรวยด้วยเงินทองและฐานะ
“ใช่ ฉันคิดว่า ก็น่าจะมีเงื่อนงำ คนที่อยู่ใกล้ชิดพ่อนะสำคัญที่สุด เพราะพ่อแต่งงานใหม่โดยไม่จดทะเบียนกับคุณเอมอร”
โดยความคิดนั้นเมนิกาพุ่งเป้าไปตรงนี้ ไม่มีทางอื่นที่หล่อนจะสงสัยไปมากกว่านั้น แปลกใจที่มิชิตาเก็บปากเงียบ เหมือนรูดซิบสนิท แล้วมิชิตาเสคำพูดไปอีกทาง เพื่อเบนเบี่ยงความสนใจของเพื่อนรัก
“เอาล่ะ แกเพิ่งมาถึงเหนื่อย กับลูกด้วย ถามหน่อยเถอะ แกตั้งใจจะกลับมาอยู่ที่เมืองไทยหรือเปล่า”
หลังจากนี้แล้ว คำถามของมิชิตายังไม่รับคำตอบจาก เมนิกาที่มีท่าทางอ่อนเพลียจากการเดินทางอย่างเห็นได้ชัด หล่อนเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการทิ้งก้นลงบนพื้นเตียงนุ่มด้วยความหรูหรารูปลักษณ์ทันสมัย
ห้องที่ไม่ดูกว้าง แต่เน้นอลังการเรื่องเฟอร์นิเจอร์มากกว่า พื้นผ้าปูเป็นสีขาวสะอาดและกระกระจกรวมทั้งแสงไฟนั้นนวล
เมื่อถึงวันนี้แล้ว ฉันก็ตัดสินใจจะมาสานต่องานของพ่อ ฉันเอง รู้สึกผิดไม่น้อยนะที่ทำอย่างนี้กับพ่อ ด้วยอารมณ์ที่รู้สึกผิดทำให้หล่อนพูดเรื่องนี้ออกไป
หลายสิ่งหลายอย่าง ฉันไม่ได้ทำให้พ่อ แต่มันสายแล้ว การพูดถึงอดีตเป็นการหมดเปลือง
เพราะวันเวลาไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว มันหายจากไป แต่ที่หล่อนพูดเหมือนกับบ่นให้ตัวเองมากกว่า
“เอ้อ หลานฉันล่ะ”
ใช่สิ เด็กชายฟารุธ ยังไม่รู้อะไรเลย เป็นการปรับตัวและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
“แล้วทางโน้นล่ะ เธอแน่ใจหรือว่าไม่กลับไปอีก”
“พ่อฉันตายแล้ว ไม่มีใครฉันต้องกลับมาปกป้องดูแลทรัพย์สินของพ่อทุกอย่าง”
คำตอบเป็นที่กระจ่าง ทำให้มิชิตากลับเงียบอีกครั้ง
บ่ายโมงตรงที่หล่อนปรากฏตัวอยู่ภายในวัด ศาลาสวดอภิธรรมศพ ของนายถกล เพิ่มพูนเดชา แค่การปรากฏตัวในชุดสีดำของหล่อน เป็นกระโปรงยาว ความสูงสวยสง่าของหล่อนเป็นจุดเด่น ของแขกในงาน
ที่มองเป็นตาเดียวกัน หากหล่อนหยิบแว่นตาสีดำมาปกปิดดวงหน้าเสียด้วย หล่อนให้มิชชี่เข้ามาส่งถึงในวัด แล้วให้กลับไปดูแลลูกชายที่โรงแรม
“ฉันฝากฟารุธด้วยนะ เสร็จธุระฉันจะกลับไป"
ในวันที่บิดาไม่มีลมหายใจและมีโลงศพสี่เหลี่ยมวิจิตรตั้งอยู่เบื้องหน้า สมฐานะของผู้วายชมม์
ก่อนจะปักธูป แล้วหล่อนเดินออกมา เข้ามาหายังเครือญาติที่มีชีวิตอยู่และทักทายหล่อน ต่างถามถึงสารทุกข์สุขดิบ
เอมอรที่เป็นแม่เลี้ยงคนเดียวที่หล่อนไม่ได้ทัก
ฝ่ายเอมอรก็ทำเชิดคอแข็งเหมือนกัน ที่ลูกสาวคนสุดท้องของสามีที่ในการพบกันครั้งแรกระหว่างหล่อนกับลูกสาวของเขา เมนิกาก็หัวกร้าวใส่
หล่อนคงจะคิดหนักล่ะ ในเมื่อเมนิกากลับมาแล้ว แต่หล่อนคิดว่า ทรัพย์สมบัติบางส่วนที่หล่อนได้จากสามีก็คงจะมีเก็บไว้ที่อื่น ที่หล่อนกอบโกยไว้ไม่เพียงพอ สามีเฒ่าไม่ได้ทิ้งให้หล่อนมากมาย และรู้ว่าหล่อนมีลูกติด
“เมนิกา”
เสียงเรียกนั้นทำให้หล่อนหันขวับไป
คุณป้าละอองญาติผู้ใหญ่จำหล่อนได้เป็นคนแรก
“หนูเม นี่หนูจริงๆ ป้านึกว่าตาฝาดไป ทุกคนคิดว่าหนูจะไม่มา”
เพราะเมนิกาไม่เคยกลับมาอยู่เมืองไทยเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว
“หนูต้องมาสิคะ” เสียงตอบทำให้ทุกคนรู้จักหล่อนและหันขวับมาทางเดียวกัน
“คุณพ่อหนูอายุสั้นเหลือเกิน ป้าเห็นเมื่อเดือนก่อนร่างกายยังแข็งแรง”
หล่อนไม่หันไปทางคุณเอมอร ซึ่งหล่อนไม่เคยยอมรับฐานะของหล่อน ว่าจะมีอะไรเกี่ยวพันกับบิดาในฐานะลูกเลี้ยง บรรดาญาติพี่น้องของหล่อนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับหมดในเวลาต่อมา
มีบางคนมาถึงก่อน และบางคนลูกหลานก็ทยอยมาตามหลัง เพราะอยู่ต่างจังหวัด เช่นเดียวกับเมนิกาที่อยู่ต่างประเทศ และทุกคนก็แปลกใจอีกครั้งที่เมนิกามาตัวคนเดียว
แล้วใครคนหนึ่งก็ปรากฏในงานด้วยเขาอยู่ในชุดสูทสีดำสนิท รูปร่างสูงโปร่งอย่างเด่นชัด แม้เมนิกาก็สวมแว่นตาก็ตาม แต่หล่อนก็มองอย่างปรุโปร่ง
ใจของหล่อนเต้นแรงและเกือบช้อค ที่เขามาที่นี่ด้วย หล่อนพยายามตั้งสติ ไม่ให้เขาเห็นหล่อน
ชารุตก็เช่นกัน เขามาที่งานแห่งนี้ เป็นเพราะคนในครอบครัวบอกกล่าว
ที่จริงเขาไม่ค่อยยุ่มย่ามมานานแล้ว เพราะสาเหตุเป็นที่รับทราบกันดี
เขาเคยคบหาอยู่กับลูกสาวคนเล็กของท่านซึ่งกลายเป็นอดีตแล้ว หล่อนไม่หวนกลับมาที่เมืองไทย และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหล่อนอีก เขารู้แต่เพียงว่า หล่อนคนนี้ใจแข็งและเด็ดเดี่ยวนัก
เมนิการีบพาตัวเองหลบไปทันที ทั้งๆที่ใจเต้นแรงนัก เขาเพียงแต่ต้องการจะพบกับหล่อน ดูเหมือนเขาพยายามกวาดตามอง จนกระทั่งเอ่ยปากถามผู้คนที่มาร่วมงานศพเช่นเดียวกัน
“ลูกสาวคนเล็กของท่านไม่ได้กลับมาร่วมงานด้วยหรือครับ”