ตอนที่ 7 ครอบครัวสามี

2066 คำ
“ฮ้าวววววว” ลี่หลินหาวน้ำหูน้ำตาไหลออกมาหลังจากรู้สึกตัวตื่นนอนในยามเหม่า (เวลา05.00 – 06.59 น) เสียงไก่ขันยามเช้าทำให้รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย นางรู้สึกอ่อนเพลียอยากนอนต่ออีกนิดหน่อย แต่เสียงคนคุยกันในห้องครัวที่แว่วมาให้ได้ยินทำเอาลี่หลินนอนหลับไม่ลงกันเลยทีเดียว นางจำใจตื่นนอนก่อนจะเดินตามเสียงรบกวนออกไป ลี่หลินเห็นหยางหนิงเฉิงกับอี้เฉินลงเขามาพอดี ทั้งสองมีไก่ป่า 3 ตัวกับกระต่าย 2 ตัว ติดมือมาด้วย ตอนนี้พวกเขากำลังเตรียมถังไปใส่ปลาในหลุม ส่วนอ้ายฉิงก็กำลังจุดไฟต้มน้ำในครัวเช่นกัน “ข้ากับอี้เฉินจะไปตรวจดูหลุมดักปลาเสียหน่อย หากวันนี้ได้เยอะกว่าเมื่อวานคงต้องเช่าเกวียนต้าไห่เข้าไปในเมืองเพื่อขายของ เจ้าอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหม” หยางหนิงเฉินหันมาถามลี่หลินด้วยรอยยิ้ม ภรรยาตัวน้อยของเขาเพิ่งหายป่วย เขาอยากซื้อของดีๆ มาให้นางกินเพื่อบำรุงเสียหน่อย “ท่านซื้อไหมาให้ข้าเพิ่มอีกหน่อยข้าจะทำปลาหมัก อ้อ แล้วก็ซื้อแป้งสำหรับทำอาหารมาด้วย ข้าอยากทำอาหารอย่างอื่นบ้าง” ลี่หลินเห็นว่าในครัวไม่มีแป้งสำหรับทำอาหารจึงสั่งหยางหนิงเฉิงซื้อเพิ่ม นางอยากทำซาลาเปาร้อนๆ กินตอนเช้ากับชากุหลาบ “ได้ข้าจะซื้อมาให้ เจ้าไม่อยากได้อย่างอื่นอีกเลยหรือ” หยางหนิงเฉิงถามซ้ำอีกครั้งเพราะเขาเคยเห็นลี่หลินแอบกินขนมเปี๊ยกุหลาบบ่อยๆ หรือหากนางมีขนมชนิดอื่นที่อยากกินเขาจะได้ซื้อมาฝาก “ไม่หล่ะ ปลาที่พวกท่านจับมาคัดเอาแต่ตัวใหญ่ไปขายนะ ถ้าปลาตัวใหญ่จะได้ราคาดี ส่วนปลาตัวเล็กเก็บไว้ทำกับข้าวและตากแห้ง” ลี่หลินยังคิดไม่ออกว่าอยากได้อะไรเพิ่ม นางจึงหันไปแนะนำเรื่องปลาให้หยางหนิงเฉิงแทน เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะพาหยางอี้เฉินออกไปอย่างรวดเร็ว “อ้ายฉิง เจ้าไปเก็บผักกูดให้ข้าหน่อย ข้าจะทำอาหารเช้าเอง” วันนี้ลี่หลินอยากกินข้าวสวย หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ นางจึงไปจัดการหุงข้าวไว้ ต่อด้วยการทำความสะอาดปลาอย่างพิถีพิถัน ลี่หลินเลือกทำปลานึ่งซีอิ๊วที่หยางหนิงเฉิงซื้อมาเมื่อวานเป็นอันดับแรก นางผัดผักกูดใส่กากหมูเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง ก่อนจะทำน้ำซุปปลาไว้ซดให้คล่องคอ เพียงไม่นานหยางหนิงเฉิงก็พาหยางอี้เฉินกลับบ้านพร้อมด้วยปลาอีก 5 ถัง เมื่อคัดแยกขนาดปลาแล้วทำให้เหลือปลาตัวใหญ่ไปขาย 4 ถังเท่านั้น “พี่สะใภ้ ข้ากับพี่ใหญ่จะเช่าเกวียนเอาปลาไปขายในเมืองเสร็จแล้วค่อยกลับมากินข้าวเช้า ถ้าเกิดหิวมากพวกท่านกินก่อนได้เลย” หยางอี้เฉินวิ่งเข้ามาบอกลี่หลินในครัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม วันนี้พวกเขาได้ปลาเยอะมากแถมราคาดีด้วย ขายปลารอบนี้คงได้เงินเยอะกว่ารอบก่อนแน่ๆ “อืม ถ้าพวกเจ้าหิวก็ซื้อซาลาเปาในเมืองกินรองท้องไปก่อน กลับมาถึงจะได้ไม่หิวโซจนเกินไป ปล่อยให้ร่างกายหิวมากไม่ดี จะป่วยเอาได้” ลี่หลินกำชับกับอี้เฉินก่อนเขาจะจากไป หยางอี้เฉินอยู่ในช่วงวัยกำลังโตต้องกินให้มาก ถึงแม้ในยุคนี้เขาจะเป็นชายหนุ่มที่สามารถออกเรือนได้แต่ในอีกโลกที่ลี่หลินได้เห็นนั้นเขายังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ร่างกายยังสามารถเติบโตได้อีกมาก “ขอรับพี่สะใภ้” หยางอี้เฉินมองลี่หลินด้วยแววตาสงสัย เหตุใดพี่สะใภ้ถึงแสดงความห่วงใยกับเขา นางแปลกไปหรือไม่ ปกติพี่สะใภ้แทบไม่อยากคุยกับเขาด้วยซ้ำ เมื่อหยางหนิงเฉิงและหยางอี้เฉินออกไปเรียบร้อยแล้ว ลี่หลินจึงหันมาทำกับข้าวต่อ ส่วนอ้ายฉิงก็กลับมาจากเก็บผักเช่นกัน “พี่สะใภ้ วันนี้ข้าเก็บผักได้เยอะเลยเจ้าค่ะ ผักกูดตรงตีนเขาพึ่งแตกยอดอ่อนใหม่ ข้าเก็บเพลินจนได้มาครึ่งตะกร้า” “อ้อ แบ่งไว้แค่พอกิน ส่วนที่เหลือเจ้าเอาไปตากแห้งไว้ เข้าสู่ฤดูเหมันต์เมื่อไหร่พวกเราจะได้ไม่อดอยาก” ผักครึ่งตะกร้าไม่ใช่น้อย แบ่งมาผัดกินทั้งสามมื้อก็ไม่หมด หากกินไม่ทันผักกูดจะเหี่ยวเฉาไปเฉยๆ ลี่หลินจึงอยากตากแห้งเอาไว้กินหน้าหนาวด้วย “เจ้าค่ะ พี่สะใภ้จะให้ข้าช่วยอะไรอีกหรือไม่” อ้ายฉิงเห็น ลี่หลินกำลังลงมือทำอาหารอย่างคล่องแคล่วก็อยากมีส่วนร่วมด้วย “กุหลาบป่าที่ตากไว้ทำชาเมื่อวานยังไม่แห้งดี เจ้าเอาไปตากอีกรอบ หลังบ้านมีถังปลาที่ข้าทำความสะอาดและหมักไว้เรียบร้อย เจ้าเอาไปตากด้วยเลย” “เจ้าค่ะ” อ้ายฉิงรับคำก่อนจะไปจัดการทุกอย่างตามที่ลี่หลินสั่งจนเรียบร้อย นางเข้ามาช่วยดูเตาไฟในครัวอย่างขยันขันแข็งทำให้ลี่หลินมีเวลาถามเรื่องราวต่างๆ รวมไปถึงเรื่องครอบครัวด้วย ลี่หลินได้รู้ว่าตอนแรกครอบครัวหยางไม่ได้ยากจนขนาดนี้ ท่านพ่อของหยางหนิงเฉิงเป็นช่างไม้ฝีมือดีทำงานกับโรงไม้ในตำบลนอกจากนี้ยังรับจ้างสร้างบ้านให้คนในหมู่บ้านด้วย ครอบครัวหยางพอมีฐานะอยู่บ้างถึงขนาดมีเกวียนวัวใช้ แต่สถานการณ์ก็ย่ำแย่ลงไปเมื่อท่านพ่อของพวกเขาป่วยหนัก หัวหน้าครอบครัวหยางตกหลังคาบ้านตอนทำงานจึงไม่สามารถเดินได้ พวกเขาต้องเสียเงินค่าหมอ ค่ายาไปจำนวนไม่น้อย เมื่อไม่มีรายได้ก็จำเป็นต้องขายเกวียนวัว ขายที่นาเพื่อนำมาจ่ายค่ารักษาและค่าใช้จ่ายทั่วไป พี่ชายทั้งสองคนพยายามหางานทำแต่พวกเขายังเด็กมากอายุไม่ถึง 15 ปีด้วยซ้ำจึงไม่มีคนจ้างงาน หลังท่านพ่อจากไปเพียง 1 ปี ท่านแม่ของพวกเขาก็ตรอมใจจนป่วยและจากไปอีกคน ในตอนนั้นหยางหนิงเฉิงอายุเพียง 15 ปี ส่วนน้องๆ ของเขามีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น สามพี่น้องต้องดิ้นรนอยู่หลายปีจนกระทั่งหยางอี้เฉินอายุ 15 จึงสามารถทำงานช่วยแบ่งเบาภาระพี่ใหญ่ได้ ครอบครัวหยางถือว่าดีขึ้นจากแต่ก่อนมาก “พวกเจ้าคงลำบากกันมาไม่น้อยเลยใช่หรือไม่ เจ้าอดทนเก่งมากเลยนะหยางอ้ายฉิง” เมื่อลี่หลินได้ฟังเรื่องราวจบนางก็รู้สึกหดหู่มาก พวกเขาสามคนพี่น้องต้องต่อสู้กับความยากลำบากขนาดไหนกัน หยางหนิงเฉิงต้องแข็งแกร่งแค่ไหนถึงสามารถเลี้ยงดูน้องชายกับน้องสาวให้เติบโตมาได้ ลี่หลินพอเข้าใจอยู่บ้างเนื่องจากในโลกอีกใบนางเป็นเด็กกำพร้าแต่มีอายุเยอะกว่ามาก แถมยังมีทรัพย์สินที่ครอบครัวทิ้งไว้ให้ ถึงจะไม่สบายแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร เด็กสามคนนี้เอาตัวรอดมาได้ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่างแถมยังไร้ญาติขาดมิตรถือว่าเก่งมาก “ครอบครัวของเราคงดีกว่านี้ถ้ามีที่ดินสำหรับปลูกข้าวเหมือนครอบครัวอื่นเจ้าค่ะ” อ้ายฉิงพูดกับลี่หลินเมื่อเห็นสีหน้าของพี่สะใภ้สลดลง พี่สะใภ้ของนางคงไม่ชื่นชอบความลำบากเป็นแน่ ขนาดนางเองยังหวังว่าสักวันครอบครัวจะหลุดพ้นจากความลำบากได้เสียที อ้ายฉิงรีบปลอบใจลี่หลินต่อเสียงเบา “พี่สะใภ้ท่านไม่ต้องห่วง พี่ใหญ่กับพี่รองต้องช่วยกันทำงานเก็บเงินซื้อที่ดินได้แน่เจ้าค่ะ ถ้าเราปลูกข้าวไว้กินและปลูกมันเทศไว้ขายได้ พวกเราจะประหยัดเงินค่าใช้จ่ายลงมากแถมยังมีรายได้จากการขายมันเทศเพิ่มมาด้วย ต่อไปไม่ลำบากแล้วเจ้าค่ะ ท่านรออีกหน่อยเถอะนะ ข้าเชื่อว่าพี่ใหญ่ต้องทำได้แน่” อ้ายฉิงพูดปลอบใจลี่หลินยกใหญ่ นางกลัวว่าพี่สะใภ้จะทนความลำบากไม่ได้แล้วขอหย่าร้างกับพี่ใหญ่ เป็นแบบนั้นคงไม่ดีแน่ “ได้ ข้อจะรอ” ลี่หลินรับปากเพื่อให้อ้ายฉิงให้สบายใจ อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้างไม่มีใครรู้ เมื่อเห็นพี่สะใภ้รับปากอ้ายฉิงก็ยิ้มร่าออกมาด้วยความดีใจ นางเชื่อว่าสักวันครอบครัวต้องดีขึ้นกว่านี้มาก ทั้งสองคุยกันเรื่อยเปื่อยต่ออีกสักพักก็ได้ยินเสียงเกวียนวัวมาจอดหน้าบ้าน “พี่ใหญ่กับพี่รองกลับมาแล้ว ข้าจัดโต๊ะเลยนะเจ้าคะ” อ้ายฉิงรีบตักข้าวใส่ชามก่อนทยอยยกอาหารอีกหลายอย่างออกไปวางไว้บนโต๊ “ว้าว อาหารน่ากินมาก ข้ารู้สึกว่ากระเพาะของข้าต้องการอาหาร” อี้เฉินเกิดอาการน้ำลายไหลขึ้นมา อาหารที่พี่สะใภ้ใหญ่ทำรสชาติอร่อยจนแทบกลืนลิ้นทุกครั้ง “อย่างนั้นก็เริ่มกินกันเลยเถอะ” เมื่อเห็นหยางหนิงเฉิงเดินเข้ามาพอดีลี่หลินจึงเรียกทุกคนกินข้าว แต่ละคนต่างตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นเคย “พี่สะใภ้ปลานี้อร่อยมากข้าชอบ ไม่เคยกินปลาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย น้ำดำๆ ในจานเรียกว่าอะไร รสชาติดีมากเค็มๆ หอมๆ เนื้อปลาก็หวาน” อี้เฉินพูดไปคีบปลากินไปอย่างตะกละ ดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชอบปลานึ่งซีอิ๊วมาก “เรียกว่าปลานึ่งซีอิ๊ว ถ้าเจ้าชอบข้าจะทำให้กินบ่อยๆ” ลี่หลินส่ายหน้าเบาๆ อย่างเอ็นดู หลังจากกินข้าวเสร็จอ้ายฉิงก็รับหน้าที่ล้างจานเช่นเคย ส่วนลี่หลินกำลังจะเข้าห้องนอนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวขึ้นเขา อยู่ๆ หยางหนิงเฉิงก็รีบเดินมารั้งนางไว้ เขายื่นถุงผ้าใส่เงินให้นางพร้อมกับขนมเปี๊ยะอีกสองกล่อง แล้วพูดว่า “เงินนี้ข้าให้เจ้าเป็นคนดูแล เจ้าสามารถนำมาใช้จ่ายได้ตามความเหมาะสม ปกติข้าเป็นคนจัดการเงินส่วนนี้ แต่เมื่อเจ้าฟื้นแล้วให้เจ้าดูแลเหมาะสมกว่า” หยางหนิงเฉิงมอบเงินส่วนกลางของบ้านให้ลี่หลินดูแล เขาไตร่ตรองมาแล้วยังไงนางก็เป็นภรรยาเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านหน้าที่นี้ควรของนาง หลังจากฟื้นขึ้นมาลี่หลินดีขึ้นมาก ปลาที่นำไปขายได้เงินมาจุนเจือครอบครัวไม่น้อยก็เป็นความคิดของนาง “ขนมสองกล่องนี้คืออะไร” ลี่หลินเข้าใจเรื่องเงินที่นางต้องดูแลจัดการ แต่ขนมในมือนางคืออะไร “เอ่อ เอ่อ ข้าเห็นว่าเมื่อก่อนเจ้าชอบกินขนมเปี๊ยะบ่อยๆ จึงซื้อมาฝาก เจ้าพึ่งหายป่วยได้กินขนมบ้างคงอารมณ์ดีไม่น้อย” หยางหนิงเฉิงพูดไปหน้าแดงไป เขาเพียงอยากให้ลี่หลินได้กินของอร่อยบ้าง เมื่อมีเงินจึงอยากซื้อมาฝากนางก็เท่านั้น แต่เมื่อถูกถามตรงๆ เขาดันเกิดอาการหัวใจเต้นแรงขัดเขินนางขึ้นมาซะได้ “ข้าไปทำงานต่อก่อนนะ” หยางหนิงเฉิงรีบพูดก่อนจะวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว “โถ่วว แค่ซื้อขนมมาฝากเมียทำเป็นเขินไปได้” ลี่หลินยืนอมยิ้มพูดกับตัวเอง สามีนางมีมุมน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย คงต้องลองเรียนรู้ตัวตนของเขาดูบ้าง อย่างไรนางกับเขาก็แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ลี่หลินก้มมองขนมในมืออีกครั้งก่อนเดินถือเข้าไปในห้องนอนอย่างอารมณ์ดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม