อาหารเช้าของลี่หลินวันนี้มีเครื่องในหมูตุ๋น น้ำแกงปลาสีขาวขุ่นและผัดผักกูดใส่มันหมูเจียวสีเหลืองทอง
“ว้าว พี่สะใภ้ อาหารของท่านน่ากินมาก” อี้เฉินมองอาหารบนโต๊ะด้วยสายตาเป็นประกาย ตอนนี้เขาหิวมากๆ กลิ่นหอมของอาหารก็เย้ายวนเหลือเกิน มีทั้งเนื้อหมู เนื้อปลา และผักที่ผัดด้วยน้ำมันจนเงา ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าน้ำลายจะหกออกมา
“พวกเรารีบกินกันเถอะอี้เฉินคงหิวมากแล้ว นี่เป็นเครื่องในหมูตุ๋นที่ข้าทำเอง ท่านลองชิมดู” ลี่หลินใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วยของหยางหนิงเฉิงเพื่อเป็นสัญญาณว่าทุกคนเริ่มทานอาหารได้ นางต้องเอาใจใส่เขาบ้างเพราะมีเรื่องต้องใช้แรงงานเขาอีกมาก
“พี่สะใภ้ หมูตุ๋นของท่านอร่อยมาก ไม่คาวเลย แถมยังนุ่มละมุน อร่อยจนข้าจะกลืนลิ้นลงไป” อ้ายฉิง
“ใช่ๆ น้ำซุปปลาก็คล่องคอ ผัดผักยิ่งกรอบอร่อยหอมน้ำมันมาก” อี้เฉินรีบพูดเสริมขึ้น
เมื่อคำชมเชยสิ้นสุดลงทุกคนในบ้านก็ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารโดยไม่สนใจสิ่งใด ลี่หลินเห็นว่าทุกคนกินอิ่มเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยเรื่องที่ต้องการพูดคุยออกมา
“หยางหนิงเฉิง หลังจากนี้ท่านมีงานต้องทำอีกหรือไม่”
“ไม่มีอะไรมาก ข้าว่าจะขึ้นเขาไปวางกับดักเพิ่มสักหน่อย สามวันหลังจากนี้มีนัดล่าสัตว์ในป่าลึกกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ข้าแค่ต้องเตรียมตัวไว้เท่านั้น”
“อ่อ อย่างนั้นดีเลยหลังจากวางกับดักเสร็จท่านช่วยเก็บน้ำผึ้งป่าที่อยู่ในดงดอกไม้ด้านขวาของบ้านให้ข้าได้หรือไม่”
“ได้ เจ้าต้องการสิ่งใดเพิ่มอีกหรือไม่” หยางหนิงเฉิงตอบตกลงเสียงเรียบ
“ท่านช่วยทำคอกไก่กับคอกกระต่ายให้ข้าเพิ่มด้วยได้หรือไม่ เสร็จแล้วข้าจะสอนพวกท่านทำหลุมดักปลา พวกเราจะได้มีปลาไปขายที่เหลาอาหารทุกวัน”
“เอาตามเจ้าว่า ข้าจะขึ้นเขาไปวางกับดักเพิ่มก่อน ส่วน อี้เฉินจะไปตัดไม้ไผ่มาทำคอกไก่กับคอกกระต่ายรอ”
“งั้นข้าช่วยพวกท่านล้างจานแล้วกันนะเจ้าคะ” อ้ายฉิง อยากมีส่วนร่วมเหมือนคนอื่นบ้าง นางวิ่งหายเข้าไปล้างจานในครัวอย่างแข็งขัน
ระหว่างที่รอหยางหนิงเฉิงเข้าป่าไปวางกับดัก ลี่หลินก็ได้เอ่ยชวนอ้ายฉิงออกมาเก็บดอกกุหลาบสีแดงที่เลื้อยไปมาตามต้นไม้น้อยใหญ่ด้านขวาของบ้าน สีแดงสดของพวกมันมองแล้วเบิกบานตาเบิกบานใจเสียจริง อากาศรอบตัวบริสุทธิ์มาก ลี่หลินสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ไปสองทีก่อนจะปล่อยออกมา ดอกกุหลาบพวกนี้นางจะเก็บไปตากแห้งไว้ทำชา ยิ่งเมื่อมีน้ำผึ้งป่ามาผสมด้วยรสชาติยิ่งหอมหวาน หากได้ดื่มชาอุ่นๆ ในตอนเช้าร่างกายคงผ่อนคลายไม่น้อย
“พี่สะใภ้ ดอกไม้กุหลาบพวกนี้ทำชาได้จริงหรือเจ้าคะ” นอกจากความสวยงามแล้วอ้ายฉิงก็ไม่เคยรู้เลยว่าสามารถนำดอกกุหลาบมาทำอย่างอื่นได้
“ได้สิ นอกจากดอกกุหลาบ ยังมีดอกเก๊กฮวย ดอกมะลิ ดอกบัว และดอกไม้ชนิดอื่นที่สามารถนำมาทำชาได้ เรียกว่าชาดอกไม้ ผลไม้บางชนิดก็ทำชาได้เช่นกัน เรียกว่าชาผลไม้ หรือใบไม้อย่างใบบัว ใบอ่อนเก๋ากี้ ใบแปะก๊วย พวกนี้ก็ทำชาได้ มีสรรพคุณทางยาแต่ข้าไม่ถนัดนัก ข้าชอบดื่มชาดอกไม้กับชาผลไม้มากกว่า”
“พี่สะใภ้ ท่านมีความรู้เยอะมาก ข่าวว่าท่านรูปโฉมงดงาม เย้ายวน แถมการร่ำเรียนยังเป็นที่หนึ่งของเมืองไม่เกินจริง อ่ะ เอ่อ เอ่อ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอโทษ” อ้ายฉิงพึ่งรู้ตัวว่าตนเองปากไวพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป นางรีบก้มหน้าขอโทษด้วยความรู้สึกผิดทันที พี่ใหญ่บอกเสมอว่าอย่าพูดเรื่องนี้ให้พี่สะใภ้ได้ยินอีกนางจะเสียใจและโมโหเอาได้
“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าไม่เกินจริง” ลี่หลินหัวเราะท่าทางเตรียมตัวรับคำด่าทอของอ้ายฉิง
“อะ เอ่อ พี่สะใภ้ท่านไม่โกรธข้าหรือเจ้าคะ ปกติได้ยินเรื่องนี้ทีไรท่านเป็นต้องโมโหด่าทอข้าทุกที หรือไม่ก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง”
“ไม่หล่ะ ข้าพึ่งคิดได้ว่าโมโหไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา แล้วพวกเจ้าหล่ะไม่โกรธข้าบ้างหรือ พี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าถูกข้าด่าทออยู่เนืองๆ ตัวเจ้าเองก็ถูกด่าบ่อยกว่าคนอื่น งานบ้านงานเรือนข้าก็ไม่เคยช่วยทำสักที” ลี่หลินอยากรู้ วีรกรรมที่นางทำสมควรโดนเกลียดไม่น้อย แต่หลังจากนางฟื้นขึ้นมาทุกคนในบ้านก็ไม่ได้มีทีท่าโกรธเคืองเลยมีแค่ความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยเท่านั้น
“พวกข้าไม่โกรธท่านหรอกเจ้าค่ะ พี่ใหญ่บอกว่าหากพวกเราเคยอยู่สุขสบาย มีคนรับใช้รายล้อม แล้วต้องมาอยู่อย่างอดอยากแบบนี้เป็นใครก็ยอมรับไม่ได้ทั้งนั้น เวลาโมโหท่านก็เพียงด่าทอไม่ได้ทำร้ายร่างกายผู้ใด ส่วนงานบ้านปกติข้าเป็นคนทำทั้งหมดอยู่แล้วแค่เพิ่มท่านมาอีกคนจะเป็นไร ที่สำคัญคือข้ากับพี่รองไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ท่านกับพี่ใหญ่ทะเลาะกัน เพราะด้วยฐานะทางบ้านการแต่งพี่สะใภ้สักคนเข้ามาไม่ใช่เรื่องง่าย”
“อ้อ อย่างนี้เอง” ยังไม่ทันได้พูดต่อหยางหนิงเฉิงก็เข้ามาเรียกลี่หลินกับอ้ายฉิงออกไปจากดงดอกไม้ เขากำลังจะขึ้นไปเก็บน้ำผึ้ง หากผึ้งแตกรังขึ้นมาพวกนางจะโดนผึ้งต่อยได้
“เจ้าพาพี่สะใภ้ไปนั่งรอที่บ้านก่อน ทางนี้ข้ากับอี้เฉินจัดการเอง”
ลี่หลินกลับเข้ามาในบ้านเพื่อเริ่มเตรียมอาหารเที่ยงไว้ให้ทุกคน น้องสามีผอมแห้งเกินไปต้องขุนให้มีเนื้อหนังเพิ่มอีกหน่อย ส่วนสามีของนางถึงจะผอมไปบ้างแต่เขาก็มีกล้ามเนื้อเป็นส่วนใหญ่ น่าจะเกิดจากการทำงานหนักทุกวัน ต้องกินอาหารให้มากขึ้นร่างกายจะได้แข็งแรง ส่วนตัวนางไม่อยากกินอะไรเพิ่มแล้ว ลี่หลินอยากลดน้ำหนักเนื่องจากหน้าอกอวบอัดกับก้นงอนที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าชาวบ้านทั่วไปของนางทำให้เดินเหินไม่สะดวกนัก
“พี่สะใภ้ พวกเรากินข้าวกลางวันด้วยหรือ” อี้เฉินนำน้ำผึ้งป่ามาให้ลี่หลินเก็บไว้จึงเห็นอาหารบนเต็มโต๊ะเข้าพอดี
“ใช่ ต่อไปนี้พวกเราต้องกินข้าวเที่ยงทุกวันร่างกายจะได้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ถ้าร่างกายแข็งแรงก็สามารถทำงานได้มากขึ้น หาเงินได้มากขึ้น” ลี่หลินบอกอี้เฉินเมื่อเห็นสีหน้าดีใจของเขาแต่แป๊บเดียวก็เศร้าสลดลง ในยุคนี้คนที่กินอาหารกลางวันมีแต่พวกเศรษฐี ขุนนาง หรือราชวงศ์เท่านั้น คนจนส่วนใหญ่นิยมกินอาหารอาหารแค่ 2 มื้อ
“เจ้าไปเรียกพี่ชายมากินข้าวด้วยกันสิ” ลี่หลินยังไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับหยางหนิงเฉิงสักคำแต่นางคิดว่าเขาคงเห็นด้วย เพราะนางพูดอะไรไปเขาก็เอาแต่ตอบว่า “ได้ ตามใจเจ้า” เพียงอย่างเดียว สามีของนางช่างใจง่ายเสียจริง
อาหารเที่ยงลี่หลินอุ่นตุ๋นเครื่องในหมูที่เหลือเมื่อเช้า ผัดผักกูดกระทะใหญ่ และทอดปลาเพิ่มอีกสามตัวเพื่อให้เพียงพอสำหรับครอบครัว ทุกคนในบ้านลงมือกินกันอย่างเอร็ดอร่อยระหว่างนั้นก็มีเสียงชมมาให้ลี่หลินได้ยินเรื่อยๆ หลังจากอาหารเที่ยงทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานต่อตามหน้าที่
หยางหนิงเฉิงกับอี้เฉินไปทำคอกไก่และคอกกระต่ายต่อให้เสร็จ ส่วนลี่หลินจัดการนำดอกกุหลาบที่เก็บไว้มาห่อผ้าขาวบางแล้วเอาไปตากแดดหน้าบ้าน
ยามเว่ย (13.00 – 14.59 น.) หยางหนิงเฉิงกับอี้เฉินเข้ามาชวนลี่หลินให้สอนพวกเขาทำหลุมดักปลาต่อไปจะได้จับปลาไปขายได้เพิ่มขึ้น ลี่หลินพยายามสอนอยู่สักพักพอทั้งสองคนเริ่มทำเองเป็น นางจึงปล่อยให้หยางหนิงเฉิงกับหยางอี้เฉินลองทำ ส่วนนางกลับบ้านไปเตรียมทำอาหารเย็น
อาหารเย็นวันนี้ลี่หลินทำโจ๊กหมูสับเนื้อเนียน โดยมีอ้ายฉิงเป็นลูกมือคอยช่วยดูไฟ นางปั้นหมูสับเป็นก้อนๆ ก่อนจะหย่อนลงไปในหม้อที่โจ๊กสีขาวเนื้อเนียน พอหมูสุกแล้วก็ตักใส่ถ้วย โรยด้วยกระเทียมเจียว ใบหอมป่าและขิงซอย ลี่หลินเลือกทำอาหารเย็นแบบเบาๆ เพราะเมื่อกลางวันทุกคนกินมื้อหนักไปแล้ว
นางตบท้ายมื้ออาหารด้วยน้ำอุ่นผสมน้ำผึ้งให้ทุกคนดื่มอีกหนึ่งแก้วก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน เมื่อหัวถึงหมอนลี่หลินก็หลับเป็นตายทันที