บทที่ 4 หลอกหลอน 2

1350 คำ
“อ้าปากค้างแบบนี้ท่าทางจะหิวมาก กินก่อนแล้วค่อยคุยกันก็ได้นะ ผมรอไหว” ธีรักษ์คลี่ยิ้ม เบี่ยงตัวผ่านพนักงานโรงแรมเข้ามาด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับตัวเองเป็นแขกที่พักอยู่ในห้องนี้ มือใหญ่ล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรใบสีเทายื่นให้กับเด็กหนุ่มที่เพิ่งวางถาดอาหาร พยักพเยิดให้รีบออกไปเพื่อที่จะได้สนทนากับสาวสวยหน้าหวานตามลำพัง เขาหย่อนตัวนั่งบนโซฟา กวาดตามองห้องเล็ก ๆ ที่น่าจะเป็นห้องที่ราคาถูกที่สุดของโรงแรม ไม่ใช่วิลล่าหรูติดชายหาดเช่นเดียวกับเขา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพนักงานที่เดินทางมาพร้อมกับคณะ เพื่อดูสถานที่เตรียมงานสัมมนาสำหรับผู้บริหารที่จะมาประชุมในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า คนของเขาสืบได้ว่า นางสาวภัควรินทร์ ฐิติเมธานนท์ เพิ่งเข้าทำงานที่บริษัทได้แค่ปีเศษ เธออายุน้อยที่สุดในทีม แต่มีความสามารถและรับผิดชอบงานได้ดี ด้วยเหตุผลนี้จึงได้รับอนุญาตให้เดินทางมาเตรียมงานที่สมุยด้วย เพื่อที่งานจะได้เรียบร้อยเร็ว ๆ และทุกคนจะได้เที่ยวต่ออย่างมีความสุข ทำงานสองวัน เที่ยวสองวันตามสไตล์ไทย ๆ “ไม่หิวแล้วเหรอ หรือว่าต้องให้ผมป้อน?” “คุณ…คุณออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย!” เจ้าตัวเหมือนเพิ่งสำนึกได้ว่าต้องไล่แขกที่ไม่ได้รับเชิญออกจากห้อง “ถ้าคุณไม่ไป ฉันจะเรียกตำรวจ!” เสียงแหลมปรี๊ดทำเอาธีรักษ์ถึงกับนิ่วหน้า ถอดแว่นตากันแดดออกและกดขมับตัวเองเบา ๆ เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะที่แล่นริ้วขึ้นมา พออาการเบาลงแล้วจึงตอบโต้ด้วยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับพูดต่อไม่ออก “คุณขโมยกระเป๋าเงินของผม บัตรเครดิตถูกรูดไปหลายแสนภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง คุณแน่ใจนะว่าจะเรียกตำรวจ” ธีรักษ์สวมแว่นตามเดิม ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปใกล้คนสวยที่กำลังกะพริบตาถี่ ๆ เม้มปากแทบเป็นเส้นตรง เดาว่าคงกำลังคิดหาคำแก้ตัว แต่เขาจะไม่เปิดโอกาสให้เธอเสียงดังใส่อีก “แต่ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกายน่าจะแรงกว่านะผมว่า” ธีรักษ์ลูบข้อมือเบา ๆ รอยถลอกและปื้นแดงที่เกิดจากการกระชากไม่ได้สาหัส แต่จะให้ตอบว่าไม่เป็นอะไรเลยก็คงจะดูโง่อยู่สักหน่อย ต้องสำออยบ้างถึงจะคุ้มกับที่ต้องเจ็บตัว “คุณดูข้อมือผมสิ ช้ำไปหมดแล้ว” “กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกาย ฉัน…ฉันไม่ได้ทำร้ายคุณสักหน่อย แค่มัดข้อมือไว้จะเป็นรอยขนาดนั้นได้ยังไง” เธอเถียงเสียงเบา ไม่กล้าสบสายตาผ่านแว่นตาราคาแพง ไม่กล้าแม้แต่กระทั่งหายใจแรง ๆ เสียด้วยซ้ำ “อีกอย่างฉันก็ไม่ได้รูดบัตรหรืออะไรทั้งนั้น คุณอย่ามาใส่ร้ายฉันนะ” “น้ำหวาน ผมจำได้ว่าคุณชื่อน้ำหวาน เรื่องอื่นยังจำไม่ค่อยได้…แต่ที่ชัดคือรอยช้ำบนข้อมือของผม คุณคิดเหรอว่าผมจะยอมให้ใครเข้ามาเจอตัวเองในสภาพแบบนั้น แล้วถ้าคนที่เข้ามาเป็นคุณพ่อคุณแม่ของผมล่ะ…” เขาหรี่ตามองคนที่ลนลานจนแทบทำอะไรไม่ถูก ชอบใจที่เธอบีบมือตัวเองแน่น กดดันเพราะถูกย้ำให้ฟังถึงความผิดที่ทำลงไป “ส่วนเรื่องบัตรนั่นผมรู้ว่าคุณไม่ได้ทำ แต่ถ้าคุณไม่ได้ขโมยของของผมแล้วทิ้งลงถังขยะ บัตรของผมก็คงไม่ถูกเก็บเอาไปรูด ถูกต้องไหมครับ คุณภัควรินทร์” “คุณ คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไง…” เธอถามอย่างประหม่า “ผมรู้ทุกอย่างที่อยากจะรู้ คุณอยู่ภายใต้การดูแลของฐิติเมธานนท์ ผมไม่แน่ใจว่าคุณเป็นญาติฝั่งไหนของคุณหญิงแจ่มจันทร์ แต่ถ้าผมถามท่านก็คงจะได้คำตอบไม่ยาก เผลอ ๆ ท่านอาจจะให้คำตอบได้ด้วยว่าผมทำอะไรกับคุณไว้ คุณถึงได้โกรธผมจนมัดมือขึ้นคร่อม กอดจูบลวนลามกันแบบนั้น” “อย่าเอาคุณย่ามาขู่ฉันนะ!” “คุณพ่อผมเคยร่วมงานกับลูกชายคุณหญิงแจ่มจันทร์ ตัวผมเองก็เคยไปบ้านฐิติเมธานนท์หลายครั้งจนกล้าพูดได้เต็มปากว่าท่านเองก็เอ็นดูผมไม่ต่างจากหลานแท้ ๆ อย่างคุณเจน พูดขนาดนี้แล้วคุณยังคิดว่าผมขู่อยู่หรือเปล่า” “คุณธาร!” เสียงตะโกนของเธอทำเขาปวดหัวอีกแล้ว “ถ้าตะโกนแล้วหาเงินสามแสนมาคืนผมได้ภายในวันพรุ่งนี้ ผมจะถือว่าเมื่อวานคุณแค่อยากลองของแล้วเกิดปอดแหก แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ ผมจะถือว่าคุณเป็นเด็กไม่มีความรับผิดชอบ ต้องแจ้งให้คุณหญิงแจ่มจันทร์รู้ว่าต้องดูแลเด็กในปกครองยังไง ชดใช้ค่าเสียหายเท่าไหร่ และระหว่างเราสองคนเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง…” “ไม่นะ! คุณห้ามบอกเรื่องนี้กับคุณย่าเด็ดขาด!” “งั้นก็เริ่มจากพูดจาเพราะ ๆ ไม่เสียงดังใส่ผมก่อนสิ” ธีรักษ์ต่อรองอย่างใจเย็น “ถ้าคุณพูดง่าย อะไร ๆ ก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าคุณอยากให้เรื่องมันยากก็เชิญเถียงตามสบาย” เขาชอบการกดดันคนรอบตัวทั้ง ๆ ที่ยังยิ้มกว้าง รักยามสัมผัสได้ว่าชัยชนะนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม ยิ่งเห็นความหวาดวิตกที่ฉายชัด ความสนุกสนานก็ยิ่งเพิ่มพูน ทว่าความรู้สึกที่ว่ากลับไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากหญิงสาวตรงหน้ายอมแพ้กับคำขู่ง่าย ๆ เขาไม่ชอบเห็นภัควรินทร์เสียใจ “คุณไม่บอกเรื่องนี้กับคุณย่าได้ไหมคะ…” เธอช้อนตามองเขา เสียงหวานอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “คุณย่ายังคิดว่าน้ำหวานเป็นเด็กดี ไม่เคยมีแฟน คุณย่าไม่รู้ว่าน้ำหวานเสร็จคุณไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว” บนดวงหน้าหวานปรากฏหยาดน้ำสีใสที่ทำให้คนไร้หัวใจอย่างธีรักษ์รู้สึกเจ็บอย่างประหลาด แววตาไร้เดียงสาใสซื่อเกินกว่าจะโกหก และภาพความทรงจำที่แวบมาเป็นระยะทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าเธอพูดความจริง ‘แค่จูบเดียวนะ’ ‘ค่ะ…อื๊อออออ’ ธีรักษ์จำไม่ได้ทั้งหมด แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำแค่จูบ เขาจำได้เลือนรางว่าแตะต้องเธอมากกว่านั้น “ผมไม่ใช่คนใจร้ายนะ แต่ก็ไม่ได้ใจดีถึงขั้นทิ้งเงินสามแสนไปเฉย ๆ แล้วไอ้คนที่เอาบัตรไปก็ยังถูกคุมตัวอยู่ แต่ดันไม่มีปัญญาจ่ายคืน…มันบอกผมด้วยว่าร่วมมือกับคุณ” “น้ำหวานไม่ได้…” “ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเกี่ยวด้วยหรือเปล่า แต่คนที่จะตัดสินได้ก็คงมีแต่ตำรวจ แล้วถ้าเรื่องไปถึงขั้นนั้น ผมว่าคุณย่าของคุณคง…” “อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลยนะคะ หนูขอร้อง ให้หนูทำยังไงก็ได้ หนูยอมทุกอย่าง คุณธารอย่าแจ้งตำรวจเลยนะคะ” คำว่าหนูทำให้ธีรักษ์หัวใจเต้นแรง ชอบที่ได้ฟังเธอแทนตัวเองด้วยคำคำนั้น และที่น่าสนใจกว่ามากคือฉากหวามสั้น ๆ ที่ปรากฏชัดเจนในสมอง มันทำให้เขาตื่นเต้นจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ ‘ผมใจเย็นไม่ได้แล้ว ช้ากว่านี้ผมคงทำหนูเจ็บแน่ ๆ’ ธีรักษ์ต้องการเห็นภาพที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นและมีเพียงหนทางเดียวที่จะรู้ได้ นั่นคือข้างกายเขาต้องมีเธอ คอยกระตุ้นความทรงจำที่ขาดหายไปให้กลับคืนมา “ถ้าอยากให้เรื่องเงียบ ข้อแรกคุณต้องลบรูปที่ถ่ายเมื่อคืนให้หมด ส่วนข้อที่สองคือคุณต้องมาทำงานกับผม…”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม