ตอนที่ 14 ปักษาครวญคู่ (2)

1698 คำ
ตอนที่ 14 ปักษาครวญคู่ (2) หม่านหงถูกเชิญไปยังปีกตะวันออก ยามนี้นางสามารถควบคุมสติสัมปชัญญะได้อย่างดีเยี่ยม นางสาบานกับตนเองไว้แล้วว่าต่อไปนี้นางจะไม่แสดงความอ่อนแอให้ผู้อื่นเห็นอีก ทว่าเมื่อเข้าไปในห้องนั้นกลับพบว่านอกจากนางกำนัลที่ก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมแล้ว เยียนจิ่งกำลังเล่นกับลูก ใจของนางสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงหน้างามซีดเผือด ขณะเดียวกันก็คล้ายกับว่าถูกผู้อื่นช่วงชิงเสียงของนางไปเสียแล้ว นางมิได้เตรียมใจเพื่อมาดูภาพนี้ หัวตาของนางร้อนผ่าว ขณะเดียวกันก็รู้สึกขัดแย้งในใจกันยิ่งกว่าเดิม เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ เสี้ยวหน้าหล่อเหลาหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า “มานี่” นางยืนนิ่ง เดิมทีคิดว่าเขาจะใช้กำลังบังคับนางให้เดินไป ทว่าเยียนจิ่งกลับลุกขึ้นแล้วกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลเขาก็แล้วกัน” “แต่...” ครั้นเห็นใบหน้าฉงนของนางเยียนจิ่งก็ผละจากเสี่ยวเยียนเดินมาหานาง เขาโบกมือไล่เหล่านางกำนัล กลิ่นอายอันตรายทำให้นางเผลอก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ เขาเว้นระยะห่างราวสามก้าว ใบหน้ายังคงเย็นชาเหินห่าง “เรื่องที่เคยตกลงกันไว้ค่อยสะสางหลังจากที่ข้ากลับมา” “ท่านจะไปไหน” นางหุบปากฉับ ไม่ควรถามออกมาเลย แววตาของเขาเป็นประกายเล็กน้อย ทว่าหม่านหงมิได้มองหน้าเขาจึงไม่ได้สังเกต เขามองดวงหน้างามเนิ่นนานจนนางหายใจไม่ออก “ตอนที่ข้าไม่อยู่ก็มีเพียงเจ้าที่จะดูแลเขาให้เติบโตเป็นบุรุษที่ดีได้ สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงที่เดียวที่จะไม่ถูกผู้อื่นจับจ้อง เมื่อถึงเวลาที่ควรไป เจ้าสามารถไปได้ ทว่าเก้าชั้นฟ้ามิได้ปลอดภัยอย่างที่เจ้าคิดไว้หรอกนะ” เขายื่นสิ่งของชิ้นหนึ่งให้นาง เป็นหยกสลักรูปนกปี่อี้ครึ่งตัวสีขาวขุ่น มีตัวอักษรขนาดเล็กสลักไว้ด้านหลัง ทว่าหม่านหงมิทันได้สังเกตให้ละเอียดเขาก็ส่งของสิ่งนั้นมาอยู่บนลำคอของนาง สัมผัสเย็นลื่นของหยกทำให้นางสะดุ้ง ขณะเดียวกันเขาก็กล่าวขึ้นอีก “นี่เป็นของที่ข้ามอบให้...ลูก รักษามันให้ดี” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาไร้ซึ่งความกดดัน ขณะเดียวกันก็คล้ายกับถ้อยคำอำลาอยู่เนืองๆ หม่านหงไม่อาจทราบแน่ชัดว่ายามนี้นางรู้สึกอย่างไร รู้แต่เพียงว่าเมื่อนางพร้อมที่จะสู้กับเขา อีกฝ่ายกลับทำตัวเสมือนกระแสลม ราวกับว่าจะหายไปได้ทุกเมื่อ เก้าชั้นฟ้ามิได้ปลอดภัยคืออะไร “ท่านพูดถึงเก้าชั้นฟ้า หมายความว่าอย่างไร” นางนิ่วหน้า เหตุใดเขาจึงพูดราวกับอ่านใจของนางออก มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย “แม้แต่อดีตเทียนจวินยังไม่สามารถสะกดจิตมารของตนได้ เจ้าคิดว่ามีเทพเซียนจำนวนน้อยหรืออย่างไรที่จะยังคงไว้ซึ่งกิเลส เทพและมารมิได้มีจุดกำเนิดที่แตกต่างกันเท่าใดนัก ความโลภโมโทสันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นได้กับทุกคน หากว่าเจ้าเปิดตาอีกข้างที่พยายามปิดไว้ ก็คงมองออกว่าลูกหลานของอดีตเทียนจวินมิใช่ทุกคนที่จะมีความสุขเช่นเจ้าในอดีต ลองคิดดูว่าขณะที่เจ้าได้รับการยกย่องจากทั่วทั้งแดนสวรรค์ว่าเป็นหลานรักของอดีตเทียนจวิน ผู้คนที่แย้มยิ้มให้เจ้ามีสักกี่คนที่คิดตามนั้นจริงๆ คิดหรือว่าการที่เจ้ามาที่แห่งนี้เป็นเพราะความประสงค์ของเจ้าจริงๆ คิดหรือว่าทุกเรื่องนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ” นางเชิดหน้ามองเขา “คนเลวอย่างท่านยังสามารถกล่าวหาผู้อื่นได้หรือ” นางแค่นเสียงหัวเราะ “ข้าเกรงว่ามีแต่คนอย่างท่านเท่านั้นจึงจะสมควรได้รับคำกล่าวหาทั้งหมดทั้งมวลนี้ไว้” เขาขยับเข้าใกล้หม่านหง โน้มกายลงจนปลายจมูกแตะไล้พวงแก้มใสจนนางสะท้าน ทว่าแผ่นหลังบอบบางปะทะกับเสาไม้เย็นเยียบ นางพยายามผลักเขาออก ทว่าอีกฝ่ายกลับกดไหล่ของนางไว้ ก้มลงกระซิบเสียงแผ่ว “เมื่อถึงเวลาที่ข้ากลายเป็นเถ้าธุลี สือเฟิงจะไม่สามารถระงับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้ ขณะเดียวกันไส้ศึกบนเก้าชั้นฟ้าจะเป็นผู้จุดชนวนศึกครั้งใหม่ ยามนี้เฉียนเวยและหงหลิงเก็บตัวเลี้ยงลูก เจ้าคิดว่าหากไม่มีสองคนนั้น อิ๋งซวงเพียงคนเดียวจะสามารถต้านศึกรอบด้านได้หรือ อย่าลืมว่าเขาเพิ่งครองราชย์ มีเทพเซียนจำนวนไม่น้อยที่คลางแคลงสงสัยในการจากไปของสารเลวอิ๋นหย่ง อีกทั้งทารกทั้งสามคนนั้นเป็นทายาทของผู้ใดเจ้าน่าจะทราบแล้ว” เขาหันไปมองลูกที่นอนหลับอยู่ ก่อนจะกล่าวกับนางเสียงเบา “ทารกครึ่งมารที่พลังยังไม่ถูกปลุกจะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่ออัญเชิญสัตว์อสูรบรรพกาลอีกสามตัวที่ยังเหลืออยู่ เจ้าคิดว่ายามนี้ควรเชื่อใจผู้ใดเล่า?” นางตัวแข็งทื่อ หัวจมูกแสบร้อน “ท่านเป็นคนทำให้เขาเกิดมามิใช่หรือ” นางช้อนตามองเขา ระยะห่างอันน้อยนิดทำให้ลมหายใจอุ่นร้อนจากเขาเป่ารดดวงหน้า ทว่ายามนี้ดวงตาเย็นชาของเขากลับมิได้ว่างเปล่าอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว “ท่านเป็นคนทำให้สตรีนางนั้นตั้งครรภ์เด็กคนนี้ แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าเขาคือ...อื้อ” กลีบปากอุ่นร้อนทาบทับลงมา สัมผัสหวามไหวทำให้นางใจเต้นแรงจนต้องพยายามผลักเขาออก เยียนจิ่งดูดกลืนลมหายใจของนาง กระทั่งสัมผัสได้ถึงหยดน้ำตาอุ่นร้อนเขาจึงถอนริมฝีปากออก “เจ้าจะเกลียดข้าอย่างไรก็ได้ ทว่าข้าตั้งใจให้เขาเกิดมา และเขาต้องมีชีวิตอยู่” เขาผงะไปเล็กน้อยกับการกระทำของตน จำต้องเอ่ยขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกในแววตา นางสูดลมหายใจลึก ค*ยคุมสติเพื่อมิให้เสียงสั่นเครือจากสัมผัสหวามไหวเมื่อครู่ “แล้วเพราะเหตุใดท่านจึงสั่งให้ข้าทำลายเด็กคนนั้น” “เพราะร่างมนุษย์ไม่อาจรองรับทารกมารได้” เขาผละออกจากตัวนาง มิได้อธิบายอะไรอีกนอกจากเปลี่ยนเรื่อง “ทางเดียวที่เสี่ยวเยียนจะปลอดภัยก็คืออยู่ใกล้ข้า ทว่าข้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว หลังจากที่ข้าหายไปเจ้าสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ อย่าไว้ใจผู้ได้นับแต่นี้ แม้แต่ตัวข้าเองก็เช่นกัน” นางหลุบตาลง คิดใคร่ครวญพักหนึ่ง “บอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านจะหายไปตลอดกาล” หากเป็นเช่นนั้นนางอาจยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขากระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น ข้าเพียงกลับไปเวียนว่าย” นางชะงัก ไม่คิดว่าเขาจะกล้าบอกนางเรื่องนี้ ดวงตาหงส์เบิกกว้าง “บอกข้าเช่นนี้ไม่กลัวว่าข้าจะตามไปสังหารท่านหรือ” เยียนจิ่งมองนางด้วยสายตาลุ่มลึก จู่ๆ เขาก็แค่นหัวเราะขึ้นมา “เทพเซียนไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับชะตากรรมมนุษย์ เจ้าลืมไปแล้วหรือ” นางกัดฟัน มองเขาด้วยสายตาเกลียดชัง “แต่หากข้ายอมให้ผู้อื่นละเว้นเจ้าไว้ ก็อาจมีทางเป็นไปได้” “เกรงว่าท่านจะขลาดเขลา” เขาหัวเราะเสียงเย็น มองใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงของนางราวกับชื่นชมบุปผางาม “ขอเพียงเจ้ารักษาชีวิตตัวเองกับลูกให้ได้ ข้ายังสามารถมีชีวิตให้เจ้าเกลียดชังหรือทรมานได้อีกนาน” นางแค่นยิ้ม ทว่าดวงตาเป็นประกายวาววับ “ข้าทนเห็นท่านทุกข์ทรมานไม่ไหวแล้ว” หลังจากวันนั้น หม่านหงก็ย้ายมาอยู่กับเสี่ยวเยียนที่ปีกตะวันออกของตำหนัก ขณะเดียวกันเยียนจิ่งก็หายตัวไป นานครั้งจึงจะโผล่มาถากถางนางสักคำสองคำและเล่นกับลูก หลังจากนั้นก็หายไปอีก นางไม่เคยไต่ถามเรื่องราวใดๆ จากเหล่านางกำนัล เรียนรู้ที่จะไม่ไว้ใจผู้ใดอย่างที่เขาบอก ยามที่เยียนจิ่งอยู่กับเสี่ยวเยียนคล้ายกับว่าเขากลายเป็นอีกคนหนึ่ง สายตาที่เขามองทารกน้อยนั้นอ่อนโยนหาใดเปรียบ จนแม้แต่นางเองก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาว่านี่คือจักรพรรดิมารที่ทำร้ายจนนางเจ็บช้ำน้ำใจ เคราะห์ยังดีที่คำขู่บังคับให้นางช่วยอุ่นเตียงยังไม่เกิดขึ้น นั่นช่วยยืดมโนธรรมในตัวเขาที่มีเพียงเถ้าธุลีขึ้นอีกหน่อย นางเก็บเอาคำพูดที่เขาบอกมาคิดนับร้อยครั้ง จนหลงลืมไปแล้วว่าในตำหนักนี้มีผู้ใดหายไปบ้าง ลี่กวง... หม่านหงเอาแต่ดูแลทารกน้อย เสี่ยวเยียนเติบโตอย่างรวดเร็ว จากซาลาเปาน้อยกลายเป็นหมั่นโถวลูกยาว ยามนี้กลายเป็นทารกที่เหมือนทารกมนุษย์อายุราวหนึ่งขวบปี อีกทั้งยังเรียกท่านแม่ได้แล้ว เสี่ยวเยียนตัวกลมป้อมสามารถพูดได้บ้าง ขณะเดียวกันก็เริ่มมีร่องรอยของความเอาแต่ใจเพิ่มมากขึ้น นางสนใจแต่ลูกจนหลงลืมเรื่องของลี่กวงเสียสนิท ครั้นนางพาเสี่ยวเยียนที่เริ่มเดินได้ออกมาด้านนอกจึงอดถามว่านซีไม่ได้ “ลี่กวงไปไหน” “ลี่กวงกลับไปอยู่กับสือเฟิงหวางแล้วเพคะ” “สือเฟิง?” นางขมวดคิ้ว ลี่กวงไปอยู่กับสือเฟิงได้อย่างไรกัน “เหตุใดนางไม่อยู่ที่นี่” “ทูลองค์หญิง ลี่กวงเป็นสตรีของสือเฟิงหวาง ย่อมต้องอยู่กับเขาเพคะ” “อย่างนั้นเองหรือ” นางพึมพำเสียงแผ่ว ความส่งใจผุดขึ้นเป็นระลอก สตรีของสือเฟิงหวาง? หมายความว่าอย่างไรกันนะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม