ตอนที่ 15 ปักษาครวญคู่ (3)

2915 คำ
ตอนที่ 15 ปักษาครวญคู่ (3) ล่วงเข้าสู่ต้นฤดูสารท อากาศในตำหนักบูรพาคล้ายเย็นเยียบกว่าทุกครา หม่านหงมองร่างเล็กที่นอนขดตัวใต้ผ้าห่ม ดวงตาหลับพริ้มเปี่ยมสุข ราวกับว่าเรื่องทุกข์ร้อนใดๆ ก็ไม่อาจพรากความสดใสไปจากเขาได้ ตั้งแต่ที่นางเข้ามาดูแลเสี่ยวเยียน เด็กคนนั้นเมื่อเริ่มพูดได้ก็เรียกนางว่าท่านแม่ แม้ว่านางจะเพียรปฏิเสธถึงเพียงไหนก็ตาม ว่านซีบอกว่าองค์ชายน้อยมักมีสังหรณ์พิเศษอย่างหนึ่ง มองออกว่าผู้ใดคิดอย่างไรกับเขา หม่านหงแม้จะดีใจอยู่ลึกๆ ทว่ามีคนน้อยนักที่จะทราบอดีตที่เยียนจิ่งเคยกระทำกับนาง นางไม่อยากให้เรื่องนี้เกี่ยวร้อยตัวนางกับคนผู้นั้นไว้ด้วยกันอีก ขณะเดียวกันเมื่อนานเข้าก็เริ่มตัดใจจากเสี่ยวเยียนยากขึ้นทุกที ความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและบุตรเป็นเรื่องลึกซึ้งที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ถึงแม้เขาจะบอกให้นางดูแลเสี่ยวเยียนจนเติบโต ทว่านางต้องดูแลเขาไปจนถึงเมื่อไรกัน จนกว่าเยียนจิ่งจะพอใจให้นางเดินออกจากสถานที่แห่งนี้ หรือว่าจนกว่านางจะหนีไปตามที่เขาเคยบอก เขาบอกว่าเมื่อถึงเวลาที่ร่างของเขากลายเป็นเถ้าธุลี เมื่อนั้นแดนมารจะเกิดกลียุคขึ้นอีกครั้ง ทว่านางอยู่ที่นี่มาจนเข้าฤดูสารท เสี่ยวเยียนเติบโตอย่างรวดเร็วเสียจนนางเองก็ตั้งตัวไม่ทัน ขณะเดียวกันความผูกพันระหว่างแม่ลูกก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี จนป่านนี้เยียนจิ่งก็ยังสามารถสะสางราชกิจของเขาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ราวกับว่าเรื่องที่กล่าวขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงเรื่องโกหกพกลม หรือว่าเขาจะหลอกนาง แล้วที่รั้งให้นางอยู่ที่นี่เป็นเพราะอะไร? นางหลับตาลงพร้อมทั้งหายใจเนิบช้า จะดีเพียงไหนหากคนผู้นั้นจะหลอกนางเรื่องที่จะให้นางอุ่นเตียงให้เขาด้วย เพียงแค่คิดว่านางจะต้องสนองรับความต้องการจากคนผู้นั้น นางก็เรียงเกียจตนเองแทบตายแล้ว หลังจากจุมพิตหวามไหวในวันที่นางมายังปีกตะวันออกเป็นครั้งแรก นางต้องล้างปากไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเพื่อลบล้างความรู้สึกทั้งชิงชังรังเกียจทั้งคลุมเครือในอกออกจากกันให้หมด เกรงว่าหากวันหนึ่งเมื่อเขากระทำดีต่อนางขึ้นมาแล้วหักหลังนางอย่างเลือดเย็น ถึงยามนั้นนางคงเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตอนที่ทราบว่าเขาขึ้นเตียงกับ ลี่กวง แม้จะรู้ภายหลังเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ลี่กวงปั้นแต่งขึ้นมา แต่ความรู้สึกของนางมิได้หายไปง่ายดายถึงเพียงนั้น ต้องโทษความอ่อนแอของนาง เพียงคิดว่าเขาคืออิสระเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถไขว่คว้ามาได้ ยินยอมทอดกายให้เขาเพียงเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ตนเองไม่ได้ก่อ ยามนั้นเมื่อดวงตาจะมืดบอด หากแต่จิตใจของนางก็คงเลอะเลือนไปด้วย ถึงขั้นที่รู้สึกว่าตัวนางได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากผู้อื่น ได้รับสิ่งที่ดีกว่าผู้อื่น ทว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่นางได้รับมิได้สำคัญอันใดเลยแม้แต่น้อย “เสี่ยวเยียนนอนแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำจากด้านหลังทำให้ไหล่บางสะท้านไหว นางลืมตาขึ้นรีบลงจากเตียง มองเห็นใบหน้าหล่อเหลามีรอยใต้ตาคล้ำเข้มก็นึกฉงนในใจ อีกทั้งอาภรณ์สีดำที่ดูเรียบง่ายกว่ายามปกตินั้นค่อนข้างจะ...เป็นกันเอง ยกเว้นว่านัยน์ตาเย็นชาก็ยังคงเย็นชาเช่นเดิมมิได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย “ดึกป่านนี้แล้วท่านมาทำอะไร” “ให้เจ้าอุ่นเตียง” ถ้อยคำสั้นๆ ทว่าทำให้นางขนกายลุกชัน ไม่อาจปกปิดแววตารังเกียจที่ฉายชัดได้ ทว่าเยียนจิ่งมิได้สนใจ เขาสืบเท้าไปยังเตียงเล็กของเสี่ยวเยียน ก้มลงจุมพิตหน้าผากกลมทีหนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังเตียงหลังใหญ่ของนางที่อยู่ไม่ไกล “มาสิ” หัวตาของนางร้อนผ่าว แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้ที่เขามิได้เอ่ยอะไรก็เพียงแต่ทำให้นางตายใจสินะ หม่านหงข่มกลั้นความอดสูในอก หันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างไม่ไยดี หากเขาจะข่มเหงนางคงมีเพียงทางเดียวคือใช้กำลังบังคับเท่านั้น เดินได้เพียงสามก้าวประตูห้องก็พลันถูกปิดเสียงดัง หม่านหงหันไปมองเสี่ยวเยียน พบว่าทารกน้อยยังคงหลับตาพริ้มราวกับมิได้มีอะไรเกิดขึ้น พลันกัดฟันพูด “ข้าไม่พร้อม” ลมหอบหนึ่งพัดพาร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนของเยียนจิ่ง หม่านหงจึงได้สังเกตอย่างใกล้ชิตว่าแท้จริงแล้วใบหน้าของเยียนจิ่งนั้นงดงามกว่าสตรีมากนัก สันคิ้วตรงเปี่ยมศักดิ์ศรี ราวกับทั้งหกภพนี้ไม่มีอันใดให้แยแส ดวงตาเรียวงามสะท้อนความรู้สึกลึกลับยากหยั่งถึง สันจมูกโด่งตั้งตรง และกลีบปากบางได้รูปที่เม้มแน่นในยามปกติ เป็นคนงามที่หกภพนี้ยากจะพานพบ ทันใดนั้นลมหายใจร้อนผ่าวก็ปัดผ่านใบหน้า ทำให้นางพยายามดิ้นรนขัดขืนทว่าเขากลับกระซิบข้างหูอย่างใจเย็น “ตราบใดที่ข้ายังอยู่ อาคมของเจ้าใช้ไม่ได้ผลหรอก” กล่าวจบก็กดนางลงบนเตียง ตลบผ้าห่มผืนใหญ่ห่อคลุมร่างกายของทั้งคู่ กระซิบเสียงต่ำ “ข้าไม่ได้นอนมาหลายวัน อยู่นิ่งๆ ได้หรือไม่” นางตัวแข็งค้าง “ท่านจะใช้กำลังข่มเหงข้าอีกแล้วหรือ” ดวงตาคมที่กำลังจะปิดลงพลันเกิดประกายวาบผ่าน เขายันกายเท้าแขนคร่อมร่างเล็ก กลิ่นกายหอมประหลาดแผ่กำจายไปทั่ว หม่านหงกลั้นหายใจด้วยความตระหนก ถูกสายตาวาววับด้านบนจับจ้องราวกับนักล่ากำลังจ้องกินเหยื่อ นัยน์ตาว่างเปล่าของเขาคล้ายฉาบไปด้วยความขบขันอย่างหนึ่ง เขาเหลือบมองเสี่ยวเยียน กล่าวเสียงเรียบ “ถึงข้าจะเลวทรามต่ำช้า แต่คงไม่ข่มเหงเจ้าทั้งๆ ที่อยู่ร่วมห้องกับลูกหรอกนะ” กล่าวจบเขาก็ล้มกายลง แม้จะเบียดชิดนางทว่ากลับมิได้ล่วงล้ำ กระทั่งกอดก็ยังมิได้กระทำ นั่นสร้างความประหลาดใจให้นางเป็นอย่างยิ่ง หม่านหงนอนตาใส พลันทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ นางยันกายลุกขึ้น ทว่ากลับถูกเขารั้งไหล่ให้นอนลง “ใกล้ถึงเวลาแล้ว ปราณในร่างกายข้าไม่คงที่ ความหนาวเย็นแม้ไม่ทำอะไรทว่ากลับทำให้นอนไม่หลับ เจ้านอนนิ่งๆ เถอะ” “ท่านควรไปนอนกับเสี่ยวเยียน” มากกว่านอนกับนาง “เสี่ยวเยียนนอนดิ้น เขายังเด็กข้าไม่อยากนอนทับเขา” “แต่ข้าก็นอนดิ้น” “ข้านอนทับเจ้าได้” “...” หม่านหงหวังว่าจะมีพายุกระหน่ำสายฝนสาดซัด ทว่ายามนี้กลับเงียบงันเป็นอย่างยิ่ง เงียบเสียจนนางได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นรัวขึ้นมา เพราะอะไรกัน...นางไม่คุ้นเคยกับท่าทีผ่อนคลายเช่นนี้จากเขา ทำราวกับว่าก่อนหน้านี้เขามิได้กระทำผิดต่อนางแม้แต่น้อย จู่ๆ เยียนจิ่งก็สูดลมหายใจยืดยาวจนนางพลอยสะดุ้งตาม “หากเจ้าอยากเอาคืน เมื่อข้าจุติไปยังโลกมนุษย์แล้วเจ้าก็ตามหาข้าให้พบ จะใช้ให้ข้าเป็นวัวเป็นม้าก็ตามแต่ใจ สวรรค์จะไม่รู้เห็นการกระทำของเจ้า” จุติเหรอ... เหตุใดเขาจึงต้องจุติ หรือมีเหตุให้ปราณตบะแก่กล้าจนต้องฝ่าด่านเคราะห์อีกครั้ง... ทันใดนั้นนางพลันแค่นเสียง เอาคืนหรือ เรื่องนี้นางคิดอยู่หลายตลบ กลับคิดไม่ตกเสียที เหตุใดนางต้องเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับเขาด้วย ในเมื่อถ้านางสบโอกาสหนีไป นั่นมิเท่ากับว่านางเป็นอิสระต่อเขาแล้วหรือ “ไม่จำเป็นต้องให้ค่าท่านถึงเพียงนั้น ข้าจะพาเขากลับไปยังที่ที่ข้าจากมา” “ข้าเตือนแล้วว่าบนเก้าชั้นฟ้ามิได้ปลอดภัยสำหรับเจ้าและลูก ไม่ช้าไม่นานเจ้าก็จำเป็นต้องไปที่โลกมนุษย์อยู่ดี” “คนต่ำทรามเช่นท่านยังสามารถให้ข้าเชื่อถือได้หรือ” เยียนจิ่งเงียบไปราวกับกำลังใคร่ครวญถึงสิ่งที่นางกล่าวมา หม่านหงจึงหันหลังแล้วหลับตาลงให้เขาโดยไม่พูดอันใดอีก อย่างน้อยก็เพียงแค่นอนร่วมเตียง มิใช่ร่วมเตียงอย่างที่นางเข้าใจ “เขาชื่อเยียนหง” เนตรหงส์เปิดขึ้นช้าๆ ซึมซับถ้อยคำนั้นของเขา นางขานรับคำหนึ่ง “ข้าพอจะเดาได้” คราวนี้เป็นเยียนจิ่งที่ฉงนสงสัย เขามองแผ่นหลังบอบบางที่นิ่งไม่ไหวติง “เจ้าเดาอย่างนั้นหรือ” “อืม...” นางก็เป็นเช่นสตรีทั่วไป เมื่อมีโอกาสย่อมต้องคิดให้ตัวเองได้เปรียบ หลังจากที่ว่านซีบอกนางเรื่องของลี่กวง นางจึงถามไปถึงเรื่องมารดาของเสี่ยวเยียน ว่านซีมีนิสัยเถรตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม ขอเพียงหม่านหงดีต่อเสี่ยวเยียนนางก็เล่าจนหมดเปลือก กระทั่งพูดถึงหญิงสาวชาวมนุษย์นางนั้นด้วยดวงตาแดงเรื่อ ทุกครั้งที่นางเล่าว่ามารดาของเสี่ยวเยียนต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่นายท่านได้เหยียบย่ำนั้นว่านซีจะต้องร้องไห้อยู่ร่ำไป เยียนจิ่งมิได้ใกล้ชิดสตรีมานาน หากกล่าวถึงเรื่องของอนุและสนมมากมายไม่มีผู้ใดเกินไปกว่าสือเฟิงเลยแม้แต่น้อย คนผู้นั้นว่างเสียจนต้องขนสตรีมากมายมาอยู่ในตำหนักเพื่อคลายเหงาเพราะถูกเยียนจิ่งกักบริเวณ เพื่อมิให้เที่ยวล่อลวงหญิงสาวนางอื่นมาเพิ่มภาระ แต่เมื่อมาคิดดูให้ดีแล้ว ยามนั้นที่นางถูกบุกมาถึงเรือน แต่กลับมิได้ถูกสตรีเหล่านั้นระรานจนได้รับความเจ็บช้ำนับว่าเป็นเพราะเหตุนี้ แม้ว่าจะมีสตรีมากมายหลงใหลในตัวขององค์จักรพรรดิมาร ทว่าเขากลับมิได้ว่างถึงขนาดตอบสนองนางเหล่านั้นอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่มิใช่ว่าเขาจะไม่มีสนมหรืออนุคอยอุ่นเตียงให้ หลายหมื่นปีก่อนเยียนจิ่งยังคงใช้ชีวิตเฉกเช่นสือเฟิง แต่ละวันคืนเปลี่ยนอนุไม่ซ้ำหน้า ทว่าเมื่อเขาหายไปนานจนมีคนร่ำลือว่าเขาตายไปแล้ว สือเฟิงจึงออกมาจัดการเรื่องในวังหลังให้เขา เหล่าสนมทั้งหมดก็พลอยถูกส่งกลับบ้านเกิด บ้างก็หนีไปแต่งงานใหม่ หรือหากพอใจก็ถูกกวาดต้อนเข้าตำหนักตะวันตกราวกับต้อนแพะเข้าฝูง สำหรับเผ่ามารแล้วไม่มีผู้ใดมาคอยคิดเล็กคิดน้อยเรื่องจรรยาสตรี ทว่าน่าแปลกที่กลับไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการคบชู้จนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตนัก เมื่อมารดาของเสี่ยวเยียนถูกจับเขามาขังไว้ในเรือนบุปผา นางจึงดูเสมือนเป็นสตรีเพียงคนเดียวในรอบหลายหมื่นปีของเยียนจิ่ง แม้ว่าลับหลังเขาจะกระทำราวกับว่านางเป็นเพียงอนุคอยอุ่นเตียง ทว่าต่อหน้าผู้อื่นเขาไม่เคยยอมให้ผู้ใดมาเอาเปรียบนาง ครั้นคิดถึงสิ่งที่เยียนจิ่งพูดกับนาง แสดงออกต่อนาง ในใจของหม่านหงก็พลันขุ่นมัวอย่างไม่สบอารมณ์ คนผู้นี้ไม่มีผู้ใดคอยสั่งสอนใช่หรือไม่ว่าควรกระทำตัวเช่นไรต่อสตรี หรือแม้กระทั่งคอยสั่งสอนให้เขารู้จักแยกแยะดีชั่ว เรื่องนี้หากนางมีโอกาสยังต้องคอยสั่งสอนให้เขารู้สำนึกว่าอย่าทำให้สตรีโกรธแค้นเป็นอันขาด นางมีชีวิตชั่วนิรันดร์ ยังสามารถทำเรื่องราวเลวร้ายกับเขาได้มากจนกว่านางจะพอใจ กระนั้นแล้วก็ยังมีเรื่องราวบางอย่างที่นางติดค้าง รู้สึกว่าต้องถามเขาให้หายข้องใจ “ข้ามีเรื่องอยากถาม” นางได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขา ที่กล่าวออกไปเพราะอยากทดสอบในยามที่จิตใจของเขาผ่อนคลายก่อนนอนหลับเท่านั้น “เรื่องอะไร” เขายังคงตื่นตัวตลอดเวลาราวกับว่าประสาทเครียดเกร็งพร้อมรับอันตรายได้ทุกเมื่ออย่างไรอย่างนั้น แท้จริงแล้วเยียนจิ่งยังไม่หลับ คิ้วเข้มยังคงขมวดเป็นปมจากสิ่งที่เพิ่งรับรู้ก่อนหน้านี้ นางอาศัยอะไรมาคาดเดาชื่อลูก “เหตุใดท่านจึงปล่อยให้นาง...ข้าท้องเสี่ยวเยียน” เขานิ่งเงียบไป เงียบเสียจนนางได้ยินเสียงหัวใจของตนเองดังสนั่น นางต้องลุ้นเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ แท้จริงแล้วสมควรถามด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ จิตใจเยือกเย็นดุจน้ำในทะเลสาบมิใช่หรือ “อยากมี” “อะไรนะ!” นางทะลึ่งตัวขึ้นมองเขาผ่านความมืดด้วยสายตาตกตะลึง เขาถอนหายใจราวกับรำคาญเสียงของนาง ตอบส่งๆ ด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น “เห็นเจ้าแล้วอยากมีลูกเพียงเท่านั้น ข้าต้องคิดอะไรซับซ้อนด้วยหรือ” หม่านหงอ้าปากค้าง อ้าแล้วหุบราวกับว่าตนเองกำลังจะเป็นใบ้ “ท่านวิปลาสไปแล้ว มองหน้าผู้อื่นคิดอยากมีลูกก็จับมาข่มเหงจนท้องเช่นนี้ก็ได้หรือ ไร้ยางอาย ไร้สำนึกเกินไปแล้ว!” เยียนจิ่งแค่นเสียง รู้สึกว่านางชักจะเหิมเกริมจนได้ใจไปแล้ว มือหนาผลักร่างนางให้นอนลง ใช้มนตร์สะกดมิให้ตัวนางขยับเขยื้อน “ปล่อยข้า” เขามิได้สนใจ เพียงแต่เลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุมอกนางแล้วล้มตัวลงนอนต่อ “นอนเสีย” จะให้เขาบอกได้อย่างไรว่ากว่าที่เขาจะได้พบนางอีกครั้งก็มีเพียงตอนที่นางจุติลงมายังโลกมนุษย์ มารถูกสั่งห้ามมิให้ไปยังสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ประตูมารถูกรักษาผนึกไว้อย่างแข็งแกร่ง ตัวนางเองเป็นถึงองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าสวรรค์ที่ได้รับการยกย่อง จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างอิ๋นหย่งไม่เคยปล่อยให้นางคลาดสายตา เยียนจิ่งปรารถนาจะลิ้มลองตัวนางมาเนิ่นนานแล้ว กอปรกับความแค้นที่มีต่ออิ๋นหย่ง นี่คงเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะทำให้นางตกเป็นของเขาได้ ขณะเดียวกันก็ได้หยามเกียรติและศักดิ์ศรีของอิ๋นหย่งไปด้วยว่าไม่สามารถช่วยเหลือหลานสาวของตน วูบหนึ่งเมื่อเห็นนาง เขาปรารถนาให้ทั้งเขาและนางมีสายสัมพันธ์ที่มากกว่าความใคร่เชื่อมโยง หากว่าตาเฒ่าอิ๋นหย่งทราบเรื่องราวว่าหลานสาวที่ตนปรารถนาจะให้สูงส่งเหนือผู้อื่นถูกมารอย่างเขาเหยียบย่ำจนบอบช้ำและมีทายาทร่วมกันคงสะใจดีไม่น้อย ขณะเดียวกันเขาก็ปรารถนาให้นางยังคงเป็นมนุษย์ตราบชั่วนิรันดร์ ขอเพียงนางว่านอนสอนง่าย เขายินดีจะอยู่ข้างนางไปตราบนานเท่านาน เช่นนั้นแล้วเขาจึงตระหนักได้ว่าหากนางคลอดเด็กออกมา จะเป็นโชคร้ายมากกว่าโชคดี แต่เมื่อเห็นนางจะทำลายลูกในท้องกลับเป็นเขาเองที่ทนไม่ได้ เยียนจิ่งเกิดความขัดแย้งในตัวเองมากมาย กระทั่งยามคลอดเสี่ยวเยียนก็เป็นเขาที่คอยนั่งกุมมือนาง ถ่ายทอดพลังปราณรักษาชีพจรนางให้คงที่ น่าเสียดายที่จิตใจของนางต่อต้านปราณสายนั้น ราวกับว่านางเองก็ยอมตายเพื่อเก็บลูกไว้ ร่างกายของมารดาที่เป็นมนุษย์มิอาจรับความแข็งแกร่งของทารกในท้อง สุดท้ายนางก็สิ้นใจไป ชั่วพริบตาที่ลมหายใจของนางขาดห้วง คล้ายกับว่าเขาเห็นรอยยิ้มโล่งใจของนางผุดขึ้น เยียนจิ่งเพรียกหานางราวกับว่าหากคว้าเส้นสายวิญญาณของนางได้ก็คงคว้าไว้แล้ว ทว่านางตัดใจได้อย่างรวดเร็วนัก เมื่อเสียงแรกของเสี่ยวเยียนดังขึ้น ชายหนุ่มก็เพิ่งตระหนักได้ว่าในภายภาคหน้านอกเสียจากว่านางจะยังมีเยื่อใยให้กับทารกที่นางอุ้มท้อง เขาคงไม่อาจพบเจอนางอีกตลอดกาล ขณะเดียวกันก็หวังว่าทารกน้อยคนนี้จะช่วยดึงรั้งให้นางกลับมายังแดนประจิมอีกครั้ง เยียนจิ่งมีความเห็นแก่ตัวอยู่เต็มเปี่ยม แม้จะตระหนักดีว่าในภายภาคหน้านางจะต้องเกลียดชังเขา แต่นั่นก็อาจเพียงพอให้เขาสามารถอยู่ในความทรงจำของนางตราบนานเท่านาน เหมือนที่เขาแค้นเคืองอิ๋นหย่ง แค้นจนไม่สามารถลบลืมคนผู้นั้นไปจากใจได้ ความแค้นมักจีรังกว่าความปรารถนาทั้งมวลในหกภพภูมิ หากนางกล่าวหาว่าเขาวิปลาสไปแล้ว เยียนจิ่งก็ไม่มีอะไรจะเถียง โลกนี้ล้วนบิดเบี้ยวตามความปรารถนาของสรรพสิ่ง สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สำหรับเขาแล้วหากไม่คิดเสียใจในภายหลัง ทุกสิ่งล้วนถูกต้อง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม