ในวันนี้ผู้คนมารวมตัวกันมากมาย นับดูแล้วก็เกือบ ๆ ร้อยชีวิตได้ ชายชราพาหลิวเฟยเฉิงไปทักทายผู้ใหญ่บ้านก่อนที่ทั้งสองจะนั่งสนทนากันสักครู่ ขณะที่ชายหนุ่มนั้นกำลังเตรียมอุปกรณ์ เขาก็สังเกตเห็นสายตาของหญิงสาวนับสิบคนที่แอบมองมา
พวกเธอหันไปหัวเราะกันก่อนจะส่งสายตาหวานให้เขาอีกครั้ง ชายหนุ่มพยายามไม่สนใจ ในวันนี้เขามากับพ่อตาไม่ได้พาภรรยามาด้วยเพราะเป็นห่วงกลัวว่าหม่าซูฮวานั้นจะได้รับอันตราย จึงขอให้เธออยู่บ้านช่วยเตรียมน้ำแกงร้อน ๆ ไว้ให้ เนื่องจากวันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ยิ่งเข้าป่าลึกอากาศก็จะเย็นมากยิ่งขึ้น เมื่อออกมาเขาจึงอยากที่จะเพิ่มไออุ่นให้ร่างกายด้วยอาหารร้อน ๆ
“สามีซูฮวาช่างหล่อเหลาเสียจริง”
เสียงนั้นดังแว่วเข้ามาในหูชายหนุ่ม เขายกยิ้มเล็กน้อยก่อนใช้เชือกมัดห่อผ้าที่เก็บอุปกรณ์ล่าสัตว์เอาไว้
แต่ระหว่างนั้นเสียงซุบซิบก็ยังดังขึ้นไม่หยุด เหล่าสตรีที่ตามสามีเข้าป่าต่างก็ชื่นชมในความหล่อของเขา จนไม่อาจละสายตาได้
บางคนถึงขั้นเดินเฉียดเข้ามาใกล้ ทั้งยังแอบแตะมือที่แขนเขาอีกด้วย ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันตั้งตัวทำให้เขาไม่ทันระวัง ถูกสตรีเหล่านั้นลวนลาม
หลิวเฟยเฉิงส่งยิ้มฝืดเคือง ก่อนที่เขาจะถอยไปนั่งกับพ่อตาและผู้ใหญ่บ้าน สองชายชราเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ลูกเขยแก หล่อเสียจริง”
หลิวเฟยเฉิงเป็นคนปักกิ่ง ผู้ชายที่นั่นล้วนผิวขาวสะอาดดั่งหิมะ รูปร่างสูงโปร่งทั้งยังหล่อเหลาราวกับเทพเซียน
แต่หากหันมองมาที่หมู่บ้านแห่งนี้แล้ว จะหาบุรุษรูปร่างหน้าตาคล้ายกับหลิวเฟยนั้นย่อมเป็นเรื่องยาก
บุรุษที่นี่ตรากตรำทำงานหนัก ทั้งอากาศก็ยังแปรปรวนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว บางช่วงร้อนจนแดดเลียผิวไหม้ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวสวน แต่หากฤดูไหนไม่อาจปลูกพืชผลทางการเกษตรได้ก็จะหันไปล่าสัตว์แทน
ทุกคนทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม และดูมีอายุมากกว่าปกติ บางคนหมองคล้ำมีริ้วรอยเต็มใบหน้า บางคนหัวล้านตั้งแต่อายุยี่สิบต้น ๆ
น้อยนักที่จะดูดีแบบหลิวเฟยเฉิง
“ลูกสาวฉันเลือกได้ดี”
ชายหนุ่มหลุบตาลง เขาไม่อยากคิดเลยว่าหากหลิวเฟยเฉิงตัวจริงยังไม่ตาย ชะตาชีวิตของหม่าซูฮวาและลูกชายจะเป็นเช่นไร ในวันนี้ผู้คนจะยังคิดว่าเธอเป็นสตรีที่โชคดีอยู่หรือไม่
เขายังจำวันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาเจอเธอได้ สภาพของหญิงสาวดูทรุดโทรม ใบหน้าซูบซีด ร่างกายผอม แต่เมื่อได้กลับมาใช้ชีวิตที่นี่แล้ว อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ขึ้น ทำให้เธอนั้นดูมีน้ำมีนวล กลับมางดงาม
“ว่าแต่พ่อหนุ่มนี่จะล่าสัตว์กับเขาเป็นเหรอ เคยเข้าป่ามาก่อนหรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้า เขาเคยต่อสู้กับเสือจนตกหน้าผาตาย ฉันนัดแล้วเขาจึงไม่กลัวที่จะต้องเผชิญกับสัตว์ร้ายอีก อีกทั้งยามนี้เขามีอาวุธที่ครบครัน และมีประสิทธิภาพ อาวุธของเขาสามารถล้มช้างตัวใหญ่ได้
เขาจึงไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรง และพร้อมที่จะเดินทางเข้าป่ากับทุกคน
“ผมเคยเข้าป่าครับ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมรับรองว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระใคร”
ชายหนุ่มให้คำมั่นสัญญา ด้วยรูปร่างหน้าตาของเขาอาจทำให้ผู้คนเข้าใจผิด คิดว่าเขานั้นเป็นคนขี้ขลาด เป็นคนอ่อนแอ แต่ครั้นจะให้พูดไปก็จะเป็นการโอ้อวดตัวเองเสียมากกว่า
เขาจึงคิดว่าการพิสูจน์ตัวเองที่ดีที่สุดคือการกระทำไม่ใช่คำพูด
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอก ยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้คงไม่เพลี่ยงพล้ำง่าย ๆ ”
ผู้ใหญ่บ้านวัยชราเอ่ยก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมา แม้อายุจะ 90 ปีแล้วแต่เขาก็ยังคงแข็งแรง ทั้งยังเดินเหินคล่องแคล่วราวกับชายแรกรุ่น ที่ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถแบบไม้หนัก ๆ ได้ถึงสามสี่ท่อนในคราวเดียว
“ฉันว่าสิ่งที่อันตรายไม่น่าจะใช่สัตว์ป่าแล้วล่ะ”
สายตามองตรงไปยังด้านหลังชายหนุ่ม เห็นกลุ่มหญิงสาวกำลังจับจ้องมาทางอีกฝ่าย ก็ถลึงตาดุใส่ทันที
หญิงสาวพวกนั้นล้วนมีสามีแล้ว แต่ยังมาส่งสายตาให้บุรุษอื่น หน้าไม่อายจริงๆ
“อย่าไปใส่ใจเลย รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะกลับไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน”
ชาวบ้านกว่าร้อยชีวิตเดินเท้าเข้าป่าอย่างขึงขัง บุรุษที่แข็งแรงหน่อยจะเดินประกบข้างและมีอาวุธติดกาย ส่วนคนที่เหลือจะเดินเรียงแถวตรงกลาง
เมื่อเข้ามาถึงในป่าทุกคนก็กระจายตัวไปยังจุดต่างๆ เพื่อซุ่มรอเวลาที่สัตว์ป่าจะเดินผ่านมา
แต่ขนาดนั้นชายหนุ่มได้หยิบปืนออกมา ทำให้บุรุษหลายคนจับจ้องไปยังอุปกรณ์ของเขา
“อาเฉิง ได้สิ่งนี้มาจากไหน”
หนึ่งในนั้นรีบตรงเข้ามาเอ่ยถาม ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบตอบทันที
“ฉันซื้อมาจากปักกิ่ง”
เขาไม่ได้บอกว่าความจริงแล้วเอามาจากที่ใด เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาในภายหลัง ความโลภของผู้คนเป็นสิ่งที่น่ากลัว ฉะนั้นแล้วเขาจึงไม่กล้าเสี่ยงเปิดเผยความลับของตัวเอง
“มีอีกหรือไม่ ฉันอยากจะขอยืม”
มองดูหน้าไม้ของตัวเองแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ เขาไม่มีเวลาที่จะซ่อมแซมมันเลย
หลิวเฟยเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางครุ่นคิด เขามองหน้าไม้ของตัวเองที่อยู่ในตะกร้าก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ของพวกนี้ฉันซื้อมาแพง เช่นนั้นฉันคงต้องขอเก็บเป็นค่าเช่า ไม่เเพงนักหรอก ราคาเช่าเท่ากับขาแกะหนึ่งขาเท่านั้น”
ได้ยินเช่นนั้นผู้คนโดยรอบก็ตาโต กรูกันเข้ามาเพื่อเช่าอุปกรณ์จากชายหนุ่ม แต่เพราะเขาเอามาจำกัดทำให้แบ่งเช่าได้ไม่กี่คนเท่านั้น
“ฉันยังมีปืนแบบนี้อีก แต่ราคาเช่าจะมากกว่าหน้าไม้”
ชายหนุ่มเหล่านั้นครุ่นคิด หากมีปืนแบบหลิวเฟยเชิงสักกระบอก พวกเขาอาจล่าสัตว์ใหญ่ได้ ซึ่งก็นับว่าคุ้มค่า พวกเขาถึงไม่ลังเลที่จะจ่ายค่าเช่า
“เช่นนั้นฉันขอจองหนึ่งกระบอก”
“ได้เลยพี่ชาย ครั้งหน้าฉันจะนำปืนมาด้วย”
ชายหนุ่มรับปากก่อนที่เขานั้นจะเก็บเงินใส่กระเป๋า หม่าเหลียงนึกชื่นชมลูกเขย ไม่ทันได้ล่าสัตว์ก็หาเงินไปฝากภรรยาได้เสียแล้ว
ถึงจะดูขี้เหนียวไปเสียหน่อย แต่ก็นับว่ามีหัวการค้าที่ดี ชัยชนะเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเบาใจ ในอนาคตภายภาคหน้าลูกสาวของเขาและหลานชายคงจะไม่ลำบาก
“รีบไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวจะมีฝูงหมูป่าเดินผ่านมาทางนี้”
ในป่าแห่งนี้มีหมูป่านับพันตัว แต่พวกมันไม่ค่อยออกมาจากถ้ำ หมูป่าชอบอาศัยอยู่กับดินโคลน เมื่อโคลนในถ้ำแห้งเหือดพวกมันจึงต้องย้ายถิ่นฐาน
พวกมันอาศัยอยู่ในป่าลึก หากที่ใดมีดินโคลนพวกมันก็จะปักหลักอยู่ตรงนั้น แต่ชาวบ้านจะไม่บุกรุกเข้าไป เพราะไม่ต้องการให้พวกมันย้ายถิ่นฐานเข้าไปในป่าที่ลึกกว่าเดิม
เนื่องจากตรงนั้นเป็นพื้นที่อันตราย เป็นอาณาเขตของพวกโจรป่า
ขนาดที่ทุกคนกำลังซุ่มดูอย่างเงียบๆ ฝูงหมูป่าก็เดินผ่านมา พวกมันมีจำนวนมากกว่าพันตัว น่าแปลกที่มีแต่หมูป่าตัวใหญ่ๆ
“ยิงเลย”
ลูกดอกจากทั่วสารทิศพุ่งตรงไปยังฝูงหมูป่า ก่อนที่พวกมันจะล้มลง ส่วนที่เหลือพากันวิ่งหนีกระเจิงเข้าไปในป่าลึก
คนที่ใช้หน้าไม้ของหลิวเฟยเฉิงสามารถล่าหมูป่าได้มากกว่าสามตัว เพราะในหนึ่งครั้งสามารถยิงลูกดอกได้ถึงสามลูก
คนที่เหลือที่ยังใช้หน้าไม้เก่าๆ รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงได้ขอยืมต่อๆ กัน หลิวเฟยเฉิงเห็นเช่นนั้นก็เริ่มคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาตั้งใจจะกำหนดเวลาใช้งานของอุปกรณ์ โดยจะคิดเงินเป็นรายชั่วโมง หากใครมีเงินพอจ่าย จะได้นำอุปกรณ์นั้นปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ
โชคดีที่เหล่าผู้เช่ารายแรกเข้าใจเงื่อนไข หลังใช้งานเสร็จพวกเขาก็คืนให้หลิวเฟยเฉิงพร้อมทั้งลากสัตว์ที่ล่าได้ใส่ตะกร้าที่นำมาด้วย
เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลิวเฟยเฉิงก็ได้เงินมากกว่า 100 กว่าหยวน ไม่นานเขาคิดว่าคงมีเงินพอที่จะซื้อจักรยานดี ๆ ได้สักสองคัน ทั้งเขายังสามารถล่าเสือได้อีกสองตัว และยังเป็นคนเดียวที่ล่าสัตว์ร้าย ได้ในวันนี้
“ตัวใหญ่ขนาดนี้ต้องราคาดีมากแน่ๆ”
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยขณะที่เดินวนรอบร่างเสือตัวใหญ่กว่าสองเมตร มันนอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจ
“เสือพวกนี้กินเนื้อเป็นอาหาร พวกมันน่าจะลิ้มรสมนุษย์มาหลายคนแล้ว”
ดูจากขนาดตัวมันคงจะอิ่มหนำสำราญน่าดู ถึงได้โตไวเช่นนี้ ชายชราใช้ไม้เท้าเขี่ยมันเล็กน้อยก่อนจะสั่งให้ชาวบ้านช่วยกันแบกเสือร้ายสองตัวขึ้นเกวียน
“เราจะขายได้เท่าไหร่ครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามพ่อแต่ แต่หม่าเหลียงกลับถอนหายใจก่อนจะเอ่ยกับลูกเขยอย่างตรงไปตรงมา
“ก็คงพอที่จะซื้อเมล็ดผักสักสามกระสอบ”
หลิวเฟยเฉิงชะงักไม่คิดว่าจะน้อยถึงขนาดนี้ หากเทียบกับในโลกปัจจุบันแล้ว เสือพวกนี้ราคาน่าจะไม่ต่ำกว่าสามหมื่นหยวน แต่สำหรับที่นี่มีค่าแค่เมล็ดผักสามกระสอบงั้นเหรอ
“แล้วหากนำไปขายเองล่ะครับ”
“ก็อาจจะได้ที่ดินสักสองจั้ง”
ที่ดินสองจั้งเท่ากับหกเมตร ชายหนุ่มคิดคำนวณในใจ หากเป็นเช่นนั้นราคาจะแตกต่างกันมากจนน่าใจหาย เขาจึงคิดที่จะนำไปขายในเมืองเองโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
ขณะที่ทุกคนกำลังจะเดินทางออกจากป่า จู่ ๆ เสียงคำรามลั่นของสัตว์ร้ายก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงเห่าแหลมเล็กที่ดังแทรกขึ้นมา หลิวเฟยเฉิงคว้าปืนก่อนตรงเข้าไปยังต้นเสียงโดยที่มีหม่าเหลียงพยายามร้องห้าม บุรุษหลายสิบคนรีบคว้าหน้าไม้วิ่งตามไปก่อนที่พวกเขาจะระดมยิงใส่เสือร้ายที่พยายามกัดกินลูกสุนัขจนมันล้มลง
เจ้าสุนัขตัวน้อยมีบาดแผลที่ขา มันร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด สายตาน่าสงสารจับจ้องชายหนุ่มก่อนที่มันจะพยายามตะเกียกตะกายมาหาเขา
“ใจเย็น ๆ ฉันมาช่วยแล้ว”
หลิวเฟยเฉิงอุ้มมันขึ้นมาก่อนใช้ผ้าห่อไว้เพื่อห้ามเลือด ส่วนคนที่ยิงเสือได้ก็ตกลงแบ่งส่วนกันก่อนที่พวกเขาจะแบกสัตว์ร้ายขึ้นเกวียน