หลิวเฟยเฉิงโกรธมากเมื่อรู้ว่าแม่และน้องสาวนั้นใช้งานภรรยาอย่างหนักจนเธอล้มป่วย เขาต่อว่าคนทั้งสองจนทำให้เกิดการโต้เถียงกัน
“พี่เคยบอกเองว่านังนั่นเป็นผู้หญิงโง่เง่า ฉันกับแม่จะใช้งานอย่างไรก็ได้”
เธอยังจำคำพูดของพี่ชายเมื่อหลายเดือนก่อนได้ เขาเป็นคนอนุญาตให้เธอใช้งานพี่สะใภ้ ทั้งยังเรียกอีกฝ่ายว่านังโง่ซูฮวา เธอก็แค่ทำในสิ่งที่เขาอนุญาตแล้วเธอผิดตรงไหน หลิวเย่หลิงไม่พอใจที่จู่ ๆ พี่ชายก็พลิกลิ้น หลายวันมานี้ยังออกหน้าปกป้องภรรยาจนน่าหมั่นไส้
“ฉันไม่ใช่หลิวเฟยเฉิงที่พวกเธอรู้จัก และฉันจะไม่ยอมให้ใครมารังแกซูฮวาเด็ดขาด”
น้องสาวแค่นหัวเราก่อนพ่นคำหยาบคายออกมา
“นังโง่นั่นคงซึ้งใจที่พี่รักใคร่ขนาดนี้”
หลิวเย่หลิงเมื่อเห็นว่าพี่ชายนั้นพยายามปกป้องภรรยาของเขาก็ออกอาการไม่พอใจ ทั้งยังด่าทออีกฝ่ายจนหลิวเฟยเฉิงทนไม่ไหว ง้างฝ่ามือตบหน้าน้องสาวเต็มแรง
ตัวเขาไม่เคยทำร้ายผู้หญิงและไม่คิดที่จะทำ แต่หากคน ๆ นั้นคิดร้ายกับภรรยาและลูกของเขา ชายหนุ่มก็ยอมที่จะละทิ้งความเป็นสุภาพบุรุษ
ฟูหย่งเห็นลูกชายลงไม้ลงมือกับลูกสาวคนเล็กก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาใจเย็นลง แต่ชายหนุ่มไม่ฟัง เขาโกรธเกินกว่าที่จะฟังเหตุผลไร้สาระของคนทั้งสอง
“ผมจะพาซูฮวาและเฟยหรงไปอยู่ที่อื่น”
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะพาทั้งสองไปจากที่นี่ ซูฮวาและเฟยหรงจะต้องมีชีวิตที่ดี ถูกกดขี่ข่มเหงอีก
ฟูหย่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ยินยอม เธอพยายามรั้งแขนลูกชายเอาไว้เพราะกลัวว่าบ่อเงินบ่อทองนั้นจะหลุดลอยหายไป ต่อให้หลิวเฟยเฉิงเลวร้ายเพียงใดก็ยังเป็นลูกชายที่น่ารักและกตัญญูต่อเธอเสมอ หญิงวัยกลางคนไม่ต้องการละทิ้งความสุขสบาย การมีอยู่ของลูกชายทำให้เธอนั้นมีเงินใช้ไม่ขาดมือหลิวเฟยเฉิงขยันหาเงิน ได้มาเท่าไหร่ก็นึกถึงแม่อย่างเธอเป็นคนแรกเสมอ
“อาเฉิง ใจเย็นก่อนนะลูก”
เธอพยายามลูบหลังชายหนุ่มและกดไหล่เขานั่งลง ก่อนสั่งลูกสาวให้ไปรินชามาให้พี่ชาย แต่หลิวเย่หลิงที่เพิ่งถูกตบหน้านั้นยังคงโกรธเคือง เธอสะบัดหน้าเดินออกจากบ้านไป ไม่สนใจเสียงเรียกของผู้เป็นแม่เลยสักนิด
“อาหลิง! ลูกคนนี้นี่ จริง ๆ เลย!”
หญิงวัยกลางคนยกยิ้มเจื่อนยามที่สบสายตาดุดันของลูกชาย เธอกุลีกุจอรีบหาน้ำมาให้เขาดื่ม หวังว่าเขาจะใจเย็นลง แต่หลิวเฟยเฉิงทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อคนที่นี่ไม่มีความเมตตาต่อซูฮวา ผมก็จะพาเธอไปอยู่ที่อื่น”
ฟูหย่งกลอกตาไปมาคิดหาทางออก หากหลิวเฟยเฉิงออกจากบ้านหลังนี้ไป เธอกลัวว่าซูฮวาจะยุยงลูกชายไม่ให้ส่งเงินมาให้เธอ หญิงวัยกลางคนเกลียดชังสะใภ้หน้าโง่ คิดไปเองว่าอีกฝ่ายเป็นคนชั่วช้า ไม่เคยมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่อีกฝ่ายนั้นพยายามทำให้
“แกจะทิ้งแม่ไปงั้นเหรอ”
หญิงวัยกลางคนแสร้งบีบน้ำตา ตัดพ้อลูกชายที่คิดทิ้งเธอไป หลิวเฟยเฉิงขมวดคิ้วจ้องมองอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปไม่สนใจเสียงเรียกของผู้เป็นแม่
ฟูหย่งโมโหคิดว่าซูฮวายุยงลูกชายให้ทอดทิ้ง จึงได้บุกเข้าไปในห้องนอนหญิงสาว ก่อนจะกระชากแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นจากเตียง เด็กชายตัวน้อยเห็นแม่ถูกทำร้ายก็เข้าไปดึงทึ้งผู้เป็นย่า ทำให้อีกฝ่ายโมโหเหวี่ยงเด็กชายจนล้มลงไปกับพื้น เสียงร้องไห้ของเขาทำให้ผู้เป็นแม่แทบขาดใจ เธอถลาเข้าไปปกป้องลูกชาย ก่อนจะเงยหน้ามองแม่สามีที่ยืนค้ำศีรษะอยู่
“เพราะแกลูกฉันถึงได้ดื้อรั้น!”
ว่าแล้วเธอก็ทึ้งศีรษะหญิงสาวอย่างรุนแรง หลิวเฟยเฉิงที่ยืนอยู่หลังบ้านได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกชายก็รีบวิ่งเข้ามาในห้อง ก่อนที่เขาจะเข้าไปดึงผู้เป็นแม่ออกก่อนจะดันอีกฝ่ายให้พ้นประตูห้อง
“ออกไปเดี๋ยวนี้!”
“ไอ้คนเนรคุณ ฉันเป็นแม่แกนะ!”
“เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ใช่ลูกชายคุณ!”
ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจ ตัวเขาไม่ใช่หลิวเฟยเฉิงคนเดิม ไม่ใช่ลูกชายของคนตรงหน้า ฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจความรู้สึกของคนใจหยาบอย่างฟูหย่ง ชายหนุ่มปิดประตูห้องใส่หน้าหญิงวัยกลางคนก่อนที่เขาจะเข้ามาประคองลูกชายและภรรยา
“ไม่เป็นไรแล้ว”
เขารวบทั้งสองเข้ามาในอ้อมแขนอบอุ่น หญิงสาวสะอื้นโอบกอดลูกชายแนบอก ทั้งสามกอดปลอบใจกันนานหลายนาที เด็กชายร้องไห้จนหลับไปก่อนที่หลิวเฟยเฉิงจะอุ้มร่างเล็กนอนลงบนเตียง
“ฉันขอโทษที่ปล่อยให้เธอต้องถูกรังแก”
หญิงสาวส่ายหน้า นี่ไม่ใช่ความผิดของเขา เธอสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของสามี รู้สึกได้ว่าเขานั้นเป็นห่วงเธอและลูกมากถึงขั้นยอมหักกับแม่และน้องสาวตัวเอง หม่าซูฮวาไม่ค่อยสบายใจนัก เธอพยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้ไปขอโทษฟูหย่ง
“ไปขอโทษแม่พี่เถอะ”
เธอไม่ต้องการให้แม่ลูกต้องบาดหมางโดยมีเธอเป็นตัวต้นเหตุ เพียงเท่านี้ฟูหย่งก็เกลียดชังเธอเข้ากระดูกแล้ว หากหลิวเฟยเฉิงต่อต้านอีกฝ่ายและหันมาเลือกข้างอยู่กับเธอ ชีวิตที่เหลือในบ้านหลังนี้คงเต็มไปด้วยความยากลำบาก
หญิงสาวอดทนมานานหลายปี เธอพยายามที่จะทำความดีทุกอย่างหวังว่าสักวันฟูหย่งนั้นจะเมตตา แต่เปล่าประโยชน์ เวลาผ่านไปมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งถูกเหยียบย่ำมากขึ้นเท่านั้น หญิงสาวน้อยเนื้อต่ำใจแต่ก็ไปไหนไม่ได้เพราะสามีเคยข่มขู่ไว้ว่าหาเธอหนี เขาจะตามไปฆ่าเธอและลูกรวมทั้งครอบครัวของเธอที่เมืองกวางซี
หญิงสาวไม่ต้องการให้พ่อแม่เดือดร้อนจึงจำต้องทนอยู่ที่นี่
“อย่าใจอ่อนต่อคนที่ทำร้ายเธอ ความดีไม่สามารถเอาชนะใจใครได้”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เขารู้ว่าหญิงสาวพยายามอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ตั้งมั่นในความดีหวังว่าสักวันจะเอาชนะใจฟูหย่งได้ แต่เพราะความเกลียดชังที่ฝังรากลึก ความหวังของหญิงสาวจึงเป็นเพียงแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เธอไม่มีวันทำให้ฟูหย่งนั้นเมตตาเอ็นดูได้
เวลาเย็นย่ำ ฟูหย่งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเคียงข้างหลิวเย่หลิง หลิวเฟยเฉิงเขียนร่างสัญญาขึ้นมาก่อนให้น้องสาวอ่านให้ผู้เป็นแม่ฟัง เนื่องจากฟูหย่งนั้นอ่านหนังสือไม่ออก
“อกตัญญูนัก!”
หญิงวัยกลางคนโกรธจนลมออกหูเมื่อรู้ว่าลูกชายคิดจะตัดขาด เธอลุกขึ้นชี้หน้าด่าเขาว่าเนรคุณ เธออดทนเลี้ยงดูเขามาอย่างยากลำบาก แต่ท้ายที่สุดแล้วลูกชายก็เลือกภรรยามากกว่าผู้เป็นแม่อย่างเธอ
หญิงสาวทั้งเสียใจและเจ็บแค้นใจ เธอตวัดสายตาใส่ลูกสะใภ้ที่ยืนก้มหน้านิ่ง
“เพราะแกนังผู้หญิงหยำฉ่า แกคิดจะพรากลูกไปจากฉัน!”
“พอสักที!”
ชายหนุ่มทนฟังไม่ได้ ภรรยาของเขาถูกด่าสาดเสียเทเสีย เขาจึงต้องปกป้องเธอจากปากร้าย ๆ ของผู้เป็นแม่ หลิวเฟยเฉิงบังคับให้ทั้งสองประทับลายนิ้วมือลงบนกระดาษ แต่ฟูหย่งไม่ยอม
ชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรทั้งสองก็ไม่ยอมโดยง่าย จึงได้หยิบถุงเงินออกมาวาง เงินจำนวนนี้มากพอที่จะใช้จ่ายได้นานหลายเดือน หากประหยัดมากพอ
ดวงตาหลิวเย่ฟลิงเบิกกว้างเมื่อเห็นเงินจำนวนมากตรงหน้า เธอไม่รอช้ารีบกดนิ้วลงบนแผ่นกระดาษทันทีก่อนจะคว้าถุงเงินใบแรกและเดินออกจากบ้านไป
ฟูหย่งมีท่าทางลังเล เงินเธอก็อยากได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจเสียลูกชายไป แต่เพราะความโลภในใจที่มีมากกว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่ เธอจึงค่อย ๆ ประทับนิ้วมือสั่นเทาลงบนกระดาษ
“นี่คือสัญญาตัดขาด คุณทั้งสองจะต้องไม่มายุ่งเกี่ยวกับพวกเราอีก”
ฟูหย่งแทบไม่สนใจฟังเพราะถุงเงินในมือนั้นดึงดูดสายตามมากกว่า เมื่อสามแม่ลูกเดินเข้าห้องไป เธอก็รีบเทเงินออกมานับอย่างมีความสุข
หลิวเฟยหรงช่วยพ่อแม่เก็บของใส่ห่อผ้า ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย
“เราจะไปไหนกันครับ”
เขาตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าจะได้นั่งรถไฟเป็นครั้งแรก เด็กชายเก็บของใส่ห่อผ้า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นกระป๋องที่แม่ของเขาดัดแปลงเป็นของเล่นให้ หลิวเฟยเฉิงเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกปวดใจ ทั้งที่เขาหาเงินได้ไม่น้อย แต่กลับไม่เคยซื้อความสุขให้ลูกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
หลิวเฟยเฉิงผู้นั้นยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่?
เขานึกสงสัยว่าเหตุใดชายผู้นั้นถึงได้ปล่อยให้ภรรยาและลูกชายถูกข่มเหงรังแก ช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริง ๆ
หม่าซูฮวามีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด ข้าวของที่มีก็แค่กล่องไม้ขนาดเล็กที่เธอแอบซ่อนเอาไว้ ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถามแต่เพราะเธอยังไม่ไว้ใจจึงได้โกหกว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องคือเครื่องประดับ หลิวเฟยเฉิงเชื่อสนิทใจก่อนที่เขานั้นจะนำห่อผ้ามามัดและแบ่งให้ทั้งสองช่วยกันถือ ส่วนเขาถือใบที่ใหญ่และมีน้ำหนักมากที่สุด
ฟูหย่งไม่แม่แต่จะเอ่ยลาลูกชาย เธอเอาแต่สนใจเงินที่กองอยู่บนโต๊ะ หลิวเฟยเฉิงส่ายศีรษะก่อนที่ทั้งสามจะเดินเท้าไปยังบ้านของสหายเพื่อไหว้วานให้อีกฝ่ายนั้นไปส่งที่สถานีรถไฟ
เกวียนคันใหญ่ขับเคลื่อนโดยมีวัวเป็นตัวลากจูง หลิวเฟยเฉิงโอบไหล่ภรรยาและลูกชายก่อนที่ทั้งสามจะทอดมองไปยังเส้นทางข้างหน้า