“ยัยมนุษย์นั่นโง่บรรลัย ต่อรองเหมือนกลัวคุณนิธิศจะทำร้าย คงไม่รู้สินะว่าแผลที่ขานั่นถ้าไม่ได้พลังของเขา ป่านนี้คงเสียเลือดตาย กลายเป็นศพให้พวกเราแทะเล่นแล้ว”
เป็นดาร์กจอมพล่ามที่กล่าวแซะหนูน้อยคนนี้ไม่หยุด ด้านดัสก์น้องเล็กก็ส่งเสียงร้องสำทับพี่คนกลาง “เออ ดูทำเข้า คิดว่าคุณนิธิศอยากให้ทำดีด้วยนักหรือไง นังตัวภาระนี่ น่าปล่อยให้สัตว์ป่าเลาะหนังออกจากกระดูกให้หมด!”
“หุบปากสักที” เพราะรำคาญเสียงบ่นของสองสหายที่ปรามาสเธอไม่หยุด ผมจึงจำเป็นต้องปรามให้หยุดพล่าม แน่นอนว่าคำสั่งของผมมีผลทันตาเห็น สองตัวนั้นหุบปากฉับ เช่นเดียวกันกับมือน้อย ๆ ที่ชะงักค้างกลางอากาศ
เธอยิ้มเจื่อนประหนึ่งว่า...คำพูดของผมนั้นทำลายความหวังดีที่เธอหยิบยื่นให้อย่างเต็มใจพังครืนในพริบตาเดียว และเตรียมชักมือกลับ
หมับ!
ทว่าด้วยระยะห่างซึ่งลดหลั่นกว่าก่อนหน้านี้ ผมจึงสามารถเอื้อมแขนไปด้านหน้าได้อย่างไม่ยากเย็น ก่อนคว้าหมับเข้าที่ปลายนิ้วเย็นชื้น ออกแรงดึงให้คนตัวเล็กถลาเข้ามานั่งลงข้างกันใต้ต้นไม้เก่าแก่
ทันทีที่ก้นสัมผัสพื้นดินฉ่ำชื้น เจ้าหนูตัวน้อยไม่ลังเลที่จะหันกลับมามองผม
“เมื่อกี้ยังสั่งให้หุบปาก อยู่ดี ๆ ก็มาทำแบบนี้...?”
“ผมไม่ได้พูดกับคุณ” ผมแก้ต่างให้ตัวเอง และแก้ไขเพื่อไม่ให้เธอตีความผิดเพี้ยนไป
อย่างที่บอก เสียงร้องของสามสหาย นอกจากผมและสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกันแล้วไม่มีใครหน้าไหนเข้าใจความหมายได้ เว้นเสียแต่คนคนนั้นจะถูกสาปให้กลายเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์เช่นผม
“อ้าว” เจ้าหนูตัวน้อยคราง ยกมือเกาหัวแกรก ๆ ทว่าก็ไม่วายถามต่อ “งั้นพูดกับใครคะ ผีเหรอ?”
“คงงั้น” ผมในตอนนี้ยังไม่พร้อมอธิบายให้เข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะลำพังประคองลมหายใจที่ใกล้แตกดับเต็มทีนี่ก็หนักหนาพอแรง
“อ่า...” โดนตัดบทแบบนั้นอีกฝ่ายจึงไปต่อไม่ถูก
และแล้วเราทั้งคู่ก็ไม่ได้สานต่อบทสนทนาใดอีก เพียงมองวิวยามวิกาลที่แสงของดวงจันทร์ไม่อาจทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพ ก้อนเมฆดำทะมึนกอปรกับสายฝนห่าใหญ่ทำเอาทัศนวิสัยอึมครึมพร่ามัว วิวในยามนี้จึงเลือนรางอย่างมาก ทว่าเสียงหยาดน้ำนับล้านหยดยามตกกระทบเหล่าพงไพรกลับเด่นชัดทั่วสารทิศ เช่นเดียวกันกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงทุกนาที
ผมดึงสายตากลับมาเมื่อรับรู้ถึงร่างกายอุ่นซ่านของเหล่าสหาย พวกมันบินมาซุกซุบลงบนตัก นอนขดและนำหัวมุดใต้แผงปีก ตามด้วยเสียงราบเรียบของแบล็กที่ดังขึ้นทิ้งท้าย “พวกเราจะอยู่กับคุณจนกว่าคุณจะกลับมา”
คำว่า ‘กลับมา’ ตีความได้หลายแบบ
อาจหมายความว่ารอให้ผมกลับมาเป็นร่างเดิมที่แข็งแรง
หรืออีกนัยหนึ่ง หากกายผมแตกสลายเพราะทนสภาวะนี้ไม่ไหว ทั้งกายหยาบและจิตวิญญาณจะถูกแช่แข็งโดยปริยาย แน่นิ่งเหมือนชิ้นเนื้อในช่องฟรีซ กว่าจะฟื้นก็ค่อนข้างใช้เวลา
พูดง่าย ๆ เหมือนเป็นการตายแล้วฟื้นนั่นเอง
เพราะแบบนั้น ผมถึงนิยามตัวเองว่ามีชีวิต ‘กึ่งอมตะ’ ไม่ใช่ ‘อมตะ’ ที่หมายถึงการมีชีวิตอันยืนยาวชั่วนิจนิรันด์
“นี่ คุณ...” ผ่านไปนานนับสิบนาทีคนข้าง ๆ พลันส่งเสียง “คุณดูทรมานมากเลย แน่ใจใช่ไหมว่าไหว?” ประโยคนั้นชี้ชัดว่าหญิงแปลกหน้าที่ผมหิ้วกลับบ้านด้วยจุดประสงค์ชั่วร้ายลอบสังเกตกันอยู่ตลอด
ต้องเป็นคนยังไง ถึงสามารถพูดคุยถามไถ่กันเหมือนผมเป็นเพียงคนปกติ ทั้ง ๆ ที่กายภาพแทบไม่ต่างจากอสูรกายจากขุมนรก
“ไม่กลัวผมเหรอ?” ผมหันกลับไปทางเธอ จงใจให้อีกฝ่ายเห็นพิษน่าขยะแขยงที่ยังคงเคลื่อนไหวยุบยับอยู่ใต้ชั้นผิว ตอนนี้ค่อย ๆ ขยับจากปลายคาง ก่อนไต่ขึ้นสูงถึงโหนกแก้ม “ไม่สงสัยเหรอว่าผมเป็นตัวอะไร”
ทำไมไม่ตกใจ ทำไมไม่วิ่งหนี
พอคาดเดาได้ว่าคนที่บ้าบิ่นถึงขนาดกล้าเข้าป่าช่วงมืดค่ำเพียงลำพังคงไม่ใช่คนขวัญอ่อน แต่ผมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ใครสักคนจะทำความเข้าใจได้เร็วขนาดนี้
นัยน์ตากลมโตเคลื่อนไวอย่างเงียบงัน มองตามริ้วสีดำบนหน้าผมซึ่งค่อย ๆ ลดระดับมากระจุดตรงลำคอ
“ถ้าให้พูดตรง ๆ น่ะนะ...” หลังพิจารณาความพิศวงตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงจนหนำใจ เจ้าหนูคนนั้นจึงปรับสายตาขึ้นสูง “...กลัวค่ะ โคตรกลัว ฉี่แทบราดเลย”
สารภาพก่อนเปลี่ยนจุดวางสายตาเป็นปีกขวาของผม ปีกที่มีไว้เพื่อถ่วงร่างกาย ใช้การไม่ได้จากน้ำหนักอันมหาศาล
“...” อืม กลัวสินะ
“ตอนแรกหนูหลอกตัวเองอยู่ว่าต้องฝันแน่ ๆ แต่คุณเห็นรอยบนแก้มหนูไหม หนูตบหน้าตัวเองจนแดงขนาดนี้ นี่ ที่แขนก็โดนหยิกจนเขียว มีรอยจิกของเพื่อน ๆ คุณด้วย ความรู้สึกสมจริงขนาดนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นฝันก็อะเมซิงเกินไปแล้ว” เธอใช้นิ้วจิ้มแก้มนุ่มนิ่มซึ่งแดงเป็นปื้นจากแรงตบ ก่อนยื่นแขนทั้งสองข้างมาตรงหน้า เผยรอยเขียวช้ำและแผลจากการถูกจะงอยปากแหลมคมจิกเข้าเนื้อ
แบล็ก ดาร์ก ดัสก์ เล่นแรงไปแล้ว หลังจากนี้คงต้องโดนดี
หลุบมองหลักฐานความรุนแรงบนผิวขาว ๆ นั่นครู่เดียวถึงดึงสายตากลับมาเหมือนเดิม “ถ้าเป็นคนอื่นวิ่งหนีไปแล้ว ไม่ตามผมมาถึงนี่หรอก”
หรือบางที ผมอาจเผลอผูกสัมพันธ์ตอนเห็นเธอครั้งแรกโดยไม่รู้ตัวก็ได้
“ก็ตอนนั้นคุณร้องไห้”
“...” ผมนิ่งงัน
“ถึงคุณไม่พูดว่าเจ็บ แต่ไอ้สีดำ ๆ บนร่างกายของคุณ ปีกทั้งสองข้างนั่น ดูก็รู้ว่ามันคงทำให้คุณทรมานมาก” ไม่เพียงกล่าวแต่ยังยื่นปลายนิ้วเล็กจ้อยมาเบื้องหน้า หมายจะสัมผัสปีกของผม ทว่าสุดท้ายก็ดึงมันกลับไปดังเดิม “เสียดายเนอะ ทั้ง ๆ ที่ปีกของคุณมันออกจะงดงาม”
เธอยิ้มแหยเหมือนไม่อาจเอ่ยชมได้เต็มปาก
ด้านผมนิ่งค้างไปครู่ใหญ่ เพราะตลอดสองร้อยปีนับตั้งแต่ถูกสาป ยามส่องกระจกผมไม่เคยมองว่าปีกของตัวเองดูดีแม้แต่ครั้งเดียว
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้รับคำชม
“คุณ” คล้ายมีแรงจูงใจให้ผมขยับปีกเล็กน้อย ให้ส่วนปลายของมันอยู่ใกล้ระยะแขนอีกฝ่าย “ปีกของผม”
“...”
“คุณอยากลองสัมผัสดูไหม”
จบการบรรยาย
...
“ปีกของผม คุณอยากลองสัมผัสดูไหม”
“คะ?” ประโยคเชิญชวนสุดพิลึกทำเอาฉันถึงกับร้องทวนอย่างไม่เชื่อหู “ทำไมอยู่ ๆ ถึง...”
“สายตาคุณบอก” คุณปีกใหญ่ให้เหตุผลผ่านน้ำเสียงทุ้มต่ำ พร้อมขยับปีกขวาเข้ามาชิดแขน แสดงออกผ่านภาษากายว่าเขายินดีให้ฉันแตะต้องมัน แม้ว่าสิ่งสิ่งนั้นเพิ่งจะทะลวงแผ่นหลังของเขาจนเลือดสาดก็ตาม... “ผมไม่กัดคุณเหมือนเจ้าสามตัวนี่หรอก”
เขาก้มมองเจ้าตัวแสบทั้งสามบนตักตัวเอง ซึ่งขณะนี้กำลังนอนเอาหัวซุกแผงปีกสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย
สิ่งนี้ทำให้ฉันนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อราว ๆ หนึ่งชั่วโมงก่อน
วินาทีที่ตัดสินใจได้ว่าควรละทิ้งความสับสนลงชั่วครู่แล้วตามไปช่วยเขา เป็นเวลาเดียวกันที่อีกาทั้งสามพลันบินฝ่าสายฝนกลับมา ตัวหนึ่งเกาะบนไหล่ฉัน จงใจสลัดน้ำฝนออกจากปีกจนซีกหน้าฝั่งนั้นของฉันชุ่มเปียก อีกสองตัวโฉบเข้าปราสาท ก่อนคาบบางสิ่งมาวางกองลงตรงหน้า
เสื้อกันฝน รองเท้าบูท สมุดโน้ต และปากกาหนึ่งด้าม
“จะให้พี่สวมชุดกันฝนกับรองเท้าบูทนี่เหรอ” ฉันพยายามทำความเข้าใจพฤติกรรมของเจ้าพวกตัวแสบที่จิกทึ้งกันจนได้เลือดเมื่อหลายนาทีก่อน
“กา กา” แน่นอนว่าคำตอบมีเพียงเสียงร้องที่ไม่อาจตีความเป็นประโยคได้ แต่การตอบรับนั้นก็ทำให้แน่ใจว่าพวกมันคงเป็นห่วงคุณปีกใหญ่มาก และอาจพยายามสื่อสารเพื่อให้ฉันช่วยเหลือเขา
“โอเค เข้าใจแล้ว ก็กะว่าจะไปช่วยนี่แหละ” กล่าวพลางหยิบชุดกันฝนและรองเท้าบูทขึ้นมาสวมอย่างว่าง่าย แม้จะหลวมโคร่งแต่ก็ไม่ได้บ่นเพราะคิดไว้แล้วว่าอาจเป็นของคุณคนนั้น “หือ?”
พอจัดการตัวเองเรียบร้อย หนึ่งในพวกตัวแสบพลันทำให้ฉันตกตะลึงในความสามารถด้วยการบินไปคาบปากกา ใช้กรงเล็บเล็กจ้อยทว่าแหลมคมตวัดลงสมุดโน้ตที่คาบมา ก่อนขยับจะงอยปากให้ปลายปากกาตวัดบนแผ่นกระดาษเกลี้ยงเกลา
ลายเส้นยึกยือปรากฏบนกระดาษเป็นคำว่า ‘ช่วย’
“โห แสนรู้”
ความมหัศจรรย์ครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน...ทำเอาหัวใจฉันเต้นรัวแรงเหมือนพบเจอสมบัติล้ำค่า มองคำคำนั้นสลับกับเจ้าตัวฉลาดที่พอเขียนเสร็จก็ยืนอกผายไหล่ผึ่ง ภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองเสียเต็มประดา มองผิวเผินปากกาที่มันคาบให้ความรู้สึกคล้ายมวนบุหรี่ ขับให้เจ้าจิ๋วตัวนี้เท่สะบัดจนอยากขโมยไปเลี้ยงเสียเอง
ฉันรู้อยู่บ้างว่าอีกาเป็นสัตว์ปีกที่ค่อนข้างเฉลียวฉลาด แต่ไม่เคยจินตนาการถึงภาพตอนมันเขียนเป็นคำศัพท์ของมนุษย์ได้ ถูกฝึกมาอย่างดีเลยสินะ
วันนี้เจอเรื่องน่าทึ่งเยอะมากจนตั้งรับแทบไม่ทันเลยแฮะ
หากกล้องยังอยู่ สาบานว่าจะถ่ายเก็บไว้ให้หมด ของดีแบบนี้รับรองไม่มีทางพลาดให้รู้สึกเสียดายทีหลังแน่