บทที่2.4

1153 คำ
นิธิศบรรยาย ผมหิ้วร่างกายอันแสนสาหัสมานั่งพักอย่างอ่อนล้าใต้ต้นจามจุรีอายุหลายร้อยปี กิ่งก้านของมันขยายออกข้าง ส่วนใบมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือ ดังนั้นแม้ร่างกายจะชื้นแฉะ ทว่าน้ำฝนก็ไม่ได้ทำให้ตัวผมเปียกโชกเท่าที่ควร ยังไงก็ตาม อุณหภูมิเย็นเยียบจากสายลมและเม็ดฝน กอปรกับความเจ็บปวดเพราะตกจากที่สูงยังตามเล่นงานกันอย่างต่อเนื่อง รับรู้ทุกความรู้สึกเฉกเช่นคนหรือสัตว์...แม้ผมจะถูกสาปให้มีชีวิตกึ่งอมตะก็ตามที กระดูกขาข้างซ้ายของผมหักจนทิ่มทะลุเนื้อ มีภาวะช้ำในจากแรงกระแทกสี่จุด แม้ในไม่ช้าจะสมานตัวและหายขาดเป็นปกติ ทว่าระหว่างนี้ผมไม่อาจหลีกหนีจากความทุกข์ทรมานได้ แต่ความทรมานที่กล่าวมาเรียกได้ว่าน้อยนิดหากเทียบกับพิษคำสาปที่ถูกฝังอยู่ในร่างกาย มันจะแสดงอาการและกลืนกินตัวตนของผมในคืนพระจันทร์เต็มดวง...ทว่ารอบนี้พิเศษหน่อยเพราะดันตรงกับวันครบรอบสองร้อยสองปีนับตั้งแต่ถูกสาป ซึ่งหากนับรวมอายุจริงเข้าไปด้วย ผมใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ได้ราว 233 ปีแล้ว... “อึก...” ผมกัดฟันกรอด อดกลั้นต่อความแสบยิบของพิษใต้ผิวกาย ก่อนอื่นต้องอธิบายว่าคำสาปวิปลาสมีลักษณะคล้ายรากไม้สีดำ บางครั้งร้อนเหมือนเปลวไฟ บางคราวเย็นเยือกไม่ต่างจากน้ำแข็ง มันเคลื่อนไหวดุจสิ่งมีชีวิตจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง บ้างก็แผ่ขยายทั่วร่างจนผิวกายของผมเปลี่ยนเป็นสีดำเฉกเช่นผืนฟ้ายามวิกาล แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมดของคำสาป ก่อนที่ยุคสมัยจะเปลี่ยนผ่าน ผมได้รับข้อมูลจากผู้มีความรู้ว่าสาปวิปลาสนั้นมีทั้งหมดห้าระดับ ไล่จากเบาไปรุนแรง ตัวผมที่ทำบาปไว้มาก ไม่แปลกที่แรงอาฆาตจากผู้สาปจะเข้มข้นถึงระดับห้า...ฝังลึกเกินกว่าจะถอดถอน หนทางหลุดพ้นคือความตาย ทว่าความตายกลับเป็นความปรารถนาที่ยากจะไขว่คว้า ผมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองหายไปจากโลกนี้ ใช้ขวานสับจนมือขาด เอาปืนกรอกปากแล้วลั่นไก จ้วงแทงตัวเองเป็นสิบยี่สิบครั้ง สุดท้าย...ผมก็แค่ทรมานจากความเจ็บปวด ทุรนทุรายคากองเลือด ก่อนหมดสติและถูกฟรีซ ไม่นานก็ฟื้นขึ้นมาใช้ชีวิตอันแสนบัดซบนี้ต่อ วนเวียน วนลูป ไม่รู้จบ ส่วนปีกของผม ปีกอันน่ารังเกียจนี่...นอกจากจะฉีกทึ้งแผ่นหลังจนสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากก็ใช้การแทบไม่ได้ น้ำหนักของมันเฉลี่ยข้างละยี่สิบกิโลกรัม จะให้โผบินขึ้นฟ้าเหมือนร่างสัตว์คงไม่ไหว ผมพยายามแล้ว พยายามตลอดสองร้อยปี เพราะลำพังต่อสู้กับแรงบีบรัดจากข้างในก็เต็มกลืน ภาวะวิปลาสในวันครบรอบมีแต่ถ่วงให้ผมใช้ชีวิตลำบาก แถมยังทำให้ร่างกายนี้ดูอัปลักษณ์...เกินกว่าจะได้รับความสงสารจากใคร แต่ทำไมก็ไม่รู้ เด็กผู้หญิงที่ผมเพิ่งหิ้วกลับบ้านดันใช้สายตาแบบนั้น มิหนำซ้ำ นอกจากไม่กรีดร้องแล้ววิ่งหนี ยังยืนมองและหยิบยื่นความเห็นใจให้กันผ่านแววตา ...ความปรารถนาดีโดยธรรมชาตินั่น ทำให้ผมหวนนึกถึงตอนตัวเองอยู่ในร่างเดรัจฉานและได้รับการปฏิบัติที่อ่อนโยนจากเธอ เพราะแบบนั้น วูบหนึ่งผมจึงนึกเสียดายชีวิตที่แสนมีค่าของเธอขึ้นมา เลยทำอะไรโง่ ๆ ด้วยการกระโดดลงจากชั้นสาม ยอมเจ็บหนักเพื่อให้ร่างกายถูกฟรีซ สิ่งนั้นจะทำให้ผมไม่มีโอกาสมานึกเสียดาย ปล่อยให้เธอหนี...เอาความปรารถนาดีนั้นไปใช้กับคนอื่นน่าจะดีกว่า เด็กผู้หญิงที่ดูแล้วอายุคงไม่เกินยี่สิบห้า ยังมีเวลาไว้ทำอะไรถมเถ ผมจะไม่พรากอิสรภาพของเธอเพื่อแลกกับความปรารถนาสูงสุดของตัวเองแล้วกัน ทว่าหากเธอไม่ใช้โอกาสนี้หนีไป หากเราได้พบเจอกันอีกครั้ง ผมจะถือเสียว่า... “จุ้นจ้าน” ผมหลุดพึมพำ เพราะไม่ทันจบความคิด หูพลันได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งจากที่ไกล ๆ แบล็ก ดาร์ก ดัสก์ สามตัวนั่นกำลังพาเจ้าหนูผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดมาที่นี่ ผมได้ยินเสียงของเธอลอยมาตามลม “ทางนี้เหรอ บ้าฉิบ ฝนตกจนทางเละไปหมด เดินไม่ดีลื่นลมหัวฟาดพื้นได้ง่าย ๆ เลยนะ” เวลาไล่เลี่ยกันผมเริ่มเห็นแสงลิบ ๆ จากไฟฉาย มันสาดวาบซ้ายทีขวาที ตามด้วยเสียงของหนึ่งในสหาย “ยัยมนุษย์นี่ประหลาดชะมัด มันเห็นคุณนิธิศในร่างวิปลาสแล้วแท้ ๆ แต่ก็ยอมเดินตามพวกเรามาหน้าตาเฉย ต้องเป็นคนยังไง” ประโยคยาวเหยียดนั่น เจ้าหนูคนนั้นคงได้ยินเพียงเสียง ‘กา กา’ “ก็เป็นคนที่คุณนิธิศเลือกไง” เสียงนี่ เจ้าดัสก์น้องเล็ก “ก็ไม่เห็นจะสวยตรงไหน แหวะ” “หยุดพล่าม” ต่อมาเป็นเสียงปรามของแบล็ก พี่คนโตที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง เน้นทำตามคำสั่งอย่างเดียว “ใกล้ถึงแล้ว” เพียงสองนาทีแสงสว่างจากไฟฉายก็สาดกระทบม่านตา ก่อนร่างบอบบางจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า โดยรักษาระยะห่างระหว่างกันพอสมควร “คุณ...” “...” ผมไม่พูดอะไร เพียงมองสบตาเธอผ่านไฟฉายที่เจิดจ้า “เอ่อ คืองี้นะ หนูไม่รู้หรอกว่าคุณคือตัวอะไร แต่สภาพคุณแย่มาก ถ้าเป็นไปได้ควรหาหมอนะ ไม่งั้นคุณตายแน่” สาบานว่ากำลังพูดกับผมในร่างสุดอัปลักษณ์? ชั่วโมงก่อนเธอเห็นเต็มสองตาว่ามีปีกขนาดมหึมางอกออกจากหลังของผม เห็นแม้กระทั่งพิษตามร่างกายที่เคลื่อนไหวยุบยับประหนึ่งเชื้อโรคชอนไช แล้วทำไมถึง...? ขณะตั้งคำถามอย่างเงียบงัน ผู้หญิงคนนั้นพลันค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้อย่างระแวดระวัง ท่าทีคล้ายต้องการสร้างความอุ่นใจให้หมาจรจัดที่ถูกทอดทิ้งอย่างยาวนานจนเข็ดหลาบไม่อาจเข้าใจความรัก มีเพียงความแค้น ความกลัว และความหวาดระแวง ในตอนนี้ผมอาจดูก่ำกึ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์ประหลาด แต่ก่อนกลายเป็นแบบนี้ ผมเองก็เคยเป็นมนุษย์เหมือนกัน “...” ผมจับจ้องมือที่เพิ่งยื่นมาตรงหน้า มือที่เคยโอบอุ้ม ลูบไล้ และบรรจงทำแผลที่ปีกซ้ายของผมอย่างทะนุถนอม ไออุ่นจากตัวเธอ กลิ่นหอมอ่อน ๆ บนเสื้อของเธอ น่าแปลกที่ผมยังจำได้ขึ้นใจ “ถ้าคุณไม่ทำร้ายหนู หนูสัญญาว่าจะทำดีกับคุณ” “...” “ยื่นมือมาเร็วค่ะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม