“กา กา”
เพราะมัวแต่ตกตะลึง ตัวที่เกาะอยู่บนไหล่จึงส่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดแล้วบินกลับเข้าไปในปราสาท ก่อนกลับมาพร้อมภาพถ่ายของใครบางคนที่ถูกวางลงบนสมุดโน้ตข้างคำคำนั้น ซึ่งตอนนี้หมึกบางส่วนเริ่มเจือจางจากไอฝนที่สาดกระเซ็นอย่างต่อเนื่อง
และภาพที่ว่าก็ไม่ใช่ใคร เป็นคุณคนนั้นตอนไร้ปีก ลักษณะเป็นคนธรรมดา ยืนนิ่งไร้รอยยิ้มขณะมองกล้อง ชุดไม่ค่อยทันสมัย เหมือนจงใจแต่งกายด้วยแฟชันยุคเจ็ดศูนย์ ทว่านั่นไม่น่าประหลาดใจเท่ากับความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง...
ความคุ้นเคยนี้ส่งผลให้ฉันจับจ้องภาพนั้นอย่างใคร่ครวญ ใช้เวลาราวครึ่งนาทีก็พลันได้คำตอบว่าเขาคือคนเดียวกันกับนายพรานคนนั้น...ที่ลั่นไกใส่สัตว์ป่า เป็นคนรักษาลมหายใจที่ใกล้แตกดับของฉันไว้ในห้วงนาทีสุดท้าย
จริงว่าครั้งแรกที่เราเจอกันแสงจากดวงจันทร์ไม่สว่างมากพอจะทำให้เห็นรายละเอียดชัดเจน เส้นผมหยักศกยาวระบ่าปรกดวงตาของเขา เห็นเพียงจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักลึกซึ่งมีลักษณะโค้งคว่ำเล็กน้อย ให้ความรู้สึกบึ้งตึงตลอดเวลา
อ่า ขนาดนาทีเป็นนาทีตาย ขนาดแสงสว่างไม่เอื้ออำอวยเท่าไหร่ แต่ความใกล้ชิดในช่วงเวลาสั้น ๆ และริมฝีปากเป็นเอกลักษณ์กลับเด่นชัดเหนือทุกสิ่ง ได้มองภาพชัด ๆ เต็มสองตาแบบนี้...ก็เข้าใจสักทีว่าทำไมตอนเห็นเขาในห้องห้องนั้น ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากลับผุดขึ้นกลางอก
ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่าคนที่ดูปกติธรรมดา ในเวลาต่อมาจะมีปีกทะลุออกจากหลัง กระโดดลงจากชั้นสามไม่ตาย แถมยังพาร่างกายที่แสนยับเยินเข้าป่าไปในระยะเวลาอันสั้น
ยังอยากได้คำตอบอยู่ว่าเขาเป็นตัวอะไร เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมานานเพียงแต่ซุกตัวอยู่ในปราสาทกลางป่าลึก หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกทดลองจนกายภาพผิดแปลก
แม้ฉันจะมีความเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ เคยเจอปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่อธิบายไม่ได้มาเยอะ แต่คุณปีกใหญ่ท่าทางน่าสงสารนั่น...อยู่เหนือความเข้าใจของฉันไปไกลโข
ไอ้กลัวน่ะยังกลัวอยู่ ถ้าเป็นคนอื่นคงหาทางหนีไปนานแล้ว ไม่มัวมานั่งคิดหาคำตอบ แต่ฉันคือจันทร์เสี้ยวไง...คือเด็กสาวผู้หลงใหลในความพิศวงทุกรูปแบบ คือคนที่คลุกคลีกับสัตว์มากกว่าคน คือคนที่พยายามทำความเข้าใจการมีอยู่ของทุกสรรพสิ่งบนจักรวาลอันกว้างใหญ่
ไม่อย่างนั้น ฉันคงไม่เดินทางทั่วประเทศ คงไม่ประกอบอาชีพที่ต้องคอยตามหาความจริงแบบนี้หรอก
“โอ๊ย” ฉันตัดสินใจหยิกแขนตัวเองสุดแรง พิสูจน์อีกครั้งว่าไม่ได้ฝันไปและทั้งหมดนี้คือความจริงล้านเปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าอาการแสบยิบช่วยยืนยันเป็นหนสุดท้ายว่าใช่ ช่วยเข้าใจแล้วเลิกหลอกตัวเองซะ... “แต่มืดขนาดนี้จะตามหาเขาได้ยังไงอะ ข้างในมีไฟฉายไหมนะ”
ฉันพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นว่าข้างนอกนั้นมืดสนิท สายฝนเทกระหน่ำส่งผลให้ทัศนวิสัยพร่ามัว หากไม่มีไฟนำทาง แทนที่จะได้ช่วยเขา คงเป็นฉันเองที่หลงทาง ก่อนกลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าในท้ายที่สุด
พรึ่บ! ไม่คิดว่าหนึ่งในพวกตัวแสบจะบินขึ้นชั้นสอง ก่อนครึ่งนาทีให้หลังจะกลับมาพร้อมไฟฉายกระบอกเล็ก
อยากอึ้งให้นานกว่านี้ที่นอกจากพวกมันจะเขียนหนังสือได้ยังฟังภาษามนุษย์เข้าใจอีก แต่เพราะไม่มีเวลามากแล้ว ฉันจึงใช้ไฟฉายส่องสว่างตามทางที่เจ้าตัวแสบทั้งสามบินนำหน้าไป นานราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงปลายทางจนได้...
คุณคนนั้นนั่งอ่อนแรงอยู่เพียงลำพังใต้ต้นไม้ใหญ่ เนื้อตัวฉ่ำชื้น ขาข้างหนึ่งบวมช้ำ มีลักษณะผิดรูปจากแรงกระแทก ใบหน้าอิดโรยเป็นอย่างมาก
คำตอบประจักษ์ว่าเขาคือผู้มีพระคุณ แต่ฉันไม่ได้เข้าหาอย่างรวดเร็วตั้งแต่แรก ยังคงท่าทีเฝ้าระวัง รักษาระยะห่าง ก่อนกล่าวให้อีกฝ่ายวางใจและเข้าใจเจตนาของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะดึงให้ฉันนั่งลงข้าง ๆ กัน พูดคุยเป็นปกติ จวบจนเชิญชวนให้ลองสัมผัสปีกนั่น...ที่ครั้นได้มองอย่างใกล้ชิดแล้วพบว่าเส้นขนแต่ละเส้นเงางามและทรงพลังเกินอธิบาย
“จับได้จริง ๆ เหรอคะ” ฉันถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ลังเลเกินกว่าจะระริกระรี้
“ได้” เสียงนั้นนุ่มนวล ขัดแย้งกับใบหน้าราบเรียบประหนึ่งใช้ชีวิตภายใต้ความเจ็บปวดเป็นเวลานานจนลบลืมวิธียิ้มที่ถูกต้อง
“คุณจะเจ็บไหม” ในเมื่อมัน...ทิ่มทะลุออกจากหลังจนผิวหนังฉีกขาด แผ่นหลังที่จนป่านนี้เลือดยังปริ่มไม่ขาดสาย “หนูว่านะ...”
กล่าวไม่ทันจบ มือซ้ายซึ่งวางไว้บนตักพลันถูกมือหนาของอีกฝ่ายกุมแน่น ก่อนนำพามันไปสัมผัสเส้นขนอ่อนนุ่มบริเวณส่วนปลายของปีก...ฉันชะงักกับอุณหภูมิที่ทั้งอุ่นร้อนและเยียบเย็น ทว่าหาได้ชักมือกลับ
สองตาจับจ้องแต่ละจุดที่ปลายนิ้วลากผ่าน เคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งอย่างแผ่วเบา ชื่นชมในความสวยงาม ตะลึงในความใหญ่โต รับรู้ถึงความอ้างว้างและร้าวรานผ่านอาการสั่นเทาเล็ก ๆ ของเขา
“รู้สึกยังไง” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ส่งผลให้ฉันลากสายตาไปยังใบหน้าเจ้าของปีก จนพบว่าเขาจับจ้องฉันอย่างเปิดเผยอยู่ก่อนแล้ว
“เย็น ๆ ร้อน ๆ นุ่มลื่น แต่บางจุดก็แข็งค่ะ” อธิบายตามความรู้สึกโดยที่มือข้างนั้นยังวางไว้เหนือแผงปีก “...แล้วคุณก็ตัวสั่นด้วย เจ็บเหรอ”
ก่อนหน้านี้แกกลัวไปได้ยังไงนะอีเสี้ยว ทั้งที่เขา...ออกจะน่าเห็นใจ
“ครับ เจ็บ” เขายอมรับผ่านเส้นเสียงที่เป็นปกติ ทว่าแววตากลับฉายความทรมานทุกวินาที “แต่...เหมือนจะเจ็บน้อยลงเมื่อคุณสัมผัส”
“...” ประโยคนั้นทำเอาคิ้วมุ่นขมวด เจ็บน้อยลงเมื่อฉันสัมผัสเนี่ยนะ?
ล่าสุดมีเรื่องให้ชวนงงเพิ่มอีกแล้วค่ะ
“ตอนนี้ผมยังอธิบายไม่ได้ว่าตัวเองเป็นตัวอะไร อาจจะตอบคำถามที่คุณสงสัยอย่างทันใจไม่ได้ แต่ถ้าคุณไม่กลัวผม ไม่รังเกียจผม ได้โปรด...” ปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้างสยายออกอย่างเงียบงัน คล้ายรอการเติมเต็มของบางสิ่ง “กอดผมหน่อยได้ไหม?”
“...”
“ในตอนนี้ ผมต้องการมันมากจริง ๆ”
คล้ายบอกผ่านคำขอร้องที่แทบจะเป็นการอ้อนวอนอยู่รอมร่อนั่นว่าในเวลานี้...อ้อมกอดของฉันอาจเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยปลอบประโลมและทำให้ความเจ็บปวดบรรเทาลงได้
“...”
ฉันเม้มริมฝีปากที่แสนเย็นเฉียบของตัวเองแน่น พลางพิจารณาร่างกายสั่นเทิ้มรวมถึงแววตาซึ่งไม่อาจปิดซ่อนความทรมานของเขาได้
ควรตอบรับคำขอไหม? เพราะต่อให้เห็นอกเห็นใจเข้าขั้นสงสาร ทั้งเขายังเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่ง แต่ระหว่างเรามันยังมีคำว่าคนแปลกหน้า ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อแซ่ อยู่ดี ๆ จะให้ถึงเนื้อถึงตัว...ก็ต้องคิดให้ถ้วนถี่สักนิดหรือเปล่า
“ถ้าขอมากไปต้องขอโทษ” ความเงียบจากฉันทำให้คนที่เพิ่งเผยความต้องการอย่างซื่อตรงค่อย ๆ ดึงสายตากลับไป ก่อนบังคับให้ปีกขนาดมหึมานั่นปกคลุมร่างกายตัวเอง ปิดบังริ้วมรณะให้รอดพ้นจากสายตาของฉัน “เดี๋ยวรอฝนซากว่านี้ ผมจะให้ดัสก์พาคุณกลับปราสาท ตอนตีสองตีสามจะหนาวมาก”
“ดัสก์เหรอคะ?” ฉันทวนถาม
“หนึ่งในอีกาที่พาคุณมาที่นี่” ดังนั้นเขาจึงให้คำตอบพร้อมพยักพเยิดหน้าลงบนตักตนเอง “ส่วนผมจะตามไปวันพรุ่งนี้...ถ้าร่างกายไม่ถูกฟรีซซะก่อน”
“อะไรคือร่างกายถูกฟรีซ? หมายถึงคุณจะหนาวตายอยู่ในป่าเหรอ ไม่ได้ดิ แบบนี้หนูต้องยิ่งพาคุณกลับไปด้วยใหญ่เลย” ไม่พูดเปล่าแต่ยังหยัดตัวขึ้นจากพื้น แหวกปีกขวาออกแล้วคว้ามือหนาหวังฉุดให้ลุกขึ้น แต่กลับต้องชะงักพร้อมชักมือกลับ...ครั้นพบว่าอุณหภูมิร่างกายเขาเย็นเฉียบไม่ต่างจากน้ำแข็ง และหากพิจารณาดูอีกสักครั้งพลันพบว่าผิวกายซึ่งเดิมขาวซีดอยู่แล้ว คล้ายจะซีดเซียวลงกว่าเก่าจนสังเกตได้ “คุณ...”
ปลายลิ้นแข็งติดเพดานปากจนพูดแทบไม่ออก นิ่งค้างเหมือนตัวเองโดนความเย็นนั่นทำปฏิกิริยาจนร่างกายถูกฟรีซเสียเอง
นั่นไม่น่าใช่อุณหภูมิร่างกายของสิ่งมีชีวิตแล้วนะ ฉันเคยสัมผัสผิวหนังของคนที่ตายไปแล้วสองชั่วโมง...แทบไม่ต่างอะไรกับผิวกายของเขาในตอนนี้เลย
“...” คุณปีกใหญ่ไม่กล่าวอะไร เพียงใช้มือข้างดังกล่าวสะกิดเรียกหนึ่งในพวกตัวแสบ กระซิบกระซาบแผ่วเบาเพียงไม่กี่คำเจ้าตัวนั้นก็กระพือปีกขึ้นมาเกาะบนไหล่ของฉัน
“...”
“ให้มันพากลับ” รับรู้ได้ว่าประโยคนั้นพร่าแผ่วและแหบแห้ง ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก พวกริ้วมรณะเคลื่อนไหวรัวเร็วใต้ผิวกาย ในตอนนี้ชัดเจนแล้วว่ายิ่งมันขยับเร็วเท่าไหร่ ความทรมานที่เขาต้องเผชิญจะทบทวีขึ้นมากเท่านั้น
“แล้วคุณ...” ฉันกำลังจะย่อตัวลง
“กา กา!” ทว่าเจ้าดัสก์ดันโฉบกายมาขวางทาง ก่อนงับเข้าที่เส้นผมของฉัน กระชากให้หันไปด้านหลัง ออกคำสั่งอย่างดุดันให้มุ่งหน้ากลับปราสาทตามบัญชา...และทิ้งเจ้านายของตัวเองไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่เพียงลำพัง
ไม่สิ จริง ๆ ยังมีพวกตัวแสบอีกสองหน่อ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือเขาได้มากน้อยแค่ไหน
“เจ้านายแกดูทรมานกว่าตอนแรกอีกนะ สภาพก็แย่ลงเรื่อย ๆ” ฉันอดนึกถึงเขาไม่ได้หลังถูกบังคับให้เดินจากมาได้ประมาณสิบเก้า “แถมตัวก็เย็นจน...แทบจะกลายเป็นศพอยู่แล้ว”
“...” ดัสก์ไม่ส่งเสียง แต่เพิ่มแรงกระชากเส้นผมของฉัน...ราวล่วงรู้ว่าหากผ่อนแรงแม้เพียงนิด ฉันอาจถือจังหวะนั้นหมุนตัวกลับไป
“ปล่อยไว้แบบนั้นจะดีเหรอ” ยอมรับว่าฟุ้งซ่าน จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย ไฟฉายในมือสาดส่องไม่ค่อยเป็นทิศเป็นทางนัก ยังดีที่สายฝนซาลงบ้าง จึงไม่แสบตามากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับตอนขามา “ดัสก์ พี่ว่าพี่จะกลับไปหาเขา”
“กา!”
ดัสก์แผดเสียงคล้ายไม่เห็นด้วย ทว่ากลับฉันหยุดฝีเท้าที่กำลังก้าวเดิน ยื้อสุดแรงเพื่อไม่ให้เจ้าตัวน้อยทว่าพละกำลังมหาศาลกระชากไปด้านหน้า
“ใครจะปล่อยให้เขาทรมานกลางป่าเพียงลำพังกันวะ จะเป็นตัวอะไรค่อยหาคำตอบทีหลังก็ได้ ยังไงก็ต้องช่วยก่อน โอ๊ย! อย่า ๆ ๆ”
ถึงกับต้องยกมือปกป้องตัวเองเมื่อดัสก์คืนอิสรภาพด้วยการคายเส้นผมของฉันทิ้งแล้วเปลี่ยนมาโจมตีด้วยจะงอยปากแหลมคม คราวนี้มันเล็งกลางหน้าผากซึ่งเป็นจุดหมายใหม่ ไม่ใช่หนังศีรษะหรือแขนอีกต่อไป
“กา! กา!!!”
ขณะวางมวยกับดัสก์อย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงแผดร้องของอีกาตัวอื่นพลันระงมลั่น ดังสนั่นท่ามกลางสายฝนและสายลมที่โหมกระโชก
ฉันหันขวับไปด้านหลัง คาดเดาได้ไม่ยากว่าต้องเป็นของเจ้าสองตัวนั้น และที่มาของเสียงอาจเป็นจุดเดียวกันกับที่เพิ่งเดินจากมา
ดัสก์เองก็ดูจะกังวลไม่ต่างกัน จากตอนแรกสาละวนกับการต่อสู้พลันหยุดชะงักแล้วบินย้อนกลับ
ด้านฉันไม่รอช้า สับเท้าตามเจ้าดัสก์ไป ทว่าด้วยพื้นชุ่มแฉะ ความเร่งรีบจึงทำให้ฉันเสียหลักและลื่นล้ม เป็นร่างกายฝั่งซ้ายที่กระแทกเข้ากับก้อนหินและพื้นขรุขระ ฝากรอยถลอกปอกเปิกประปรายไว้ดูต่างหน้า
ทว่าฉันไม่เสียเวลาโอดครวญแม้เพียงเสี้ยววินาทีก็พยุงร่างกายที่ร้าวระบมขึ้น แล้วตรงไปยังต้นไม้ยักษ์ต้นเดิม กระทั่งพบภาพที่ทำให้ฉันช็อกหนักกว่าครั้งไหน คุณปีกใหญ่นั่งทรุดในท่าคุกเข่า แน่นิ่งประหนึ่งรูปปั้น ส่วนปลายของนิ้วมือคล้ายมีผลึกน้ำแข็งปกคลุม ก่อนมันจะค่อย ๆ ลุกลามอย่างเชื่องช้าตามร่างกายที่แน่นิ่งดุจคนตายของเขา