ไท่ซือเฉินเห็นความระแวงในสายตา และความกังวลที่ฉายชัดบนใบหน้าก็รู้สึกเอ็นดูอย่างน่าประหลาด ตั้งแต่เกิดมานอกจากท่านหญิงอู่หรานผู้เป็นรักแรกแล้ว ก็คงมีแค่สตรีผู้นี้เท่านั้นที่ทำให้รู้สึกสนใจได้
ครั้นเห็นนางยังคงเว้นระยะห่าง จึงฉุดร่างนางมานอนอยู่ข้างกายเสีย
“ท่านชาย!” จ้าวหลันหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ๆ ก็ถูกดึงจนล้มไปกับเตียงนอน ก่อนจะถูกท่อนแขนแกร่งโอบกอดจากด้านหลังโดยไม่ได้ตั้งตัว กายแนบชิดเช่นนี้ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
“หากเป็นนางโลมผู้อื่นคงโผเข้ากอดข้ามากกว่านี้อีก” เสียงทุ้มกระซิบชิดใบหูเล็ก ดวงตาเรียวเหลือบมองแก้มขาวนุ่มนิ่มอย่างเจ้าเล่ห์ ครั้นเห็นนางพยายามขัดขืนตัว ก็ยิ่งทำให้อยากรั้งเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“แต่หลันเอ๋อร์...เป็นเพียงแค่นักดนตรีเท่านั้น” นางตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ จากนั้นจึงคิดได้ว่านางได้ทำพลาดไปแล้ว นางเป็นเพียงแค่ทาสตัวเล็กๆ เหตุใดจึงหาญกล้าต่อปากต่อคำกับท่านชายใหญ่ผู้นี้
เมื่อคิดได้จึงพลิกตัวเพื่อหันไปขอโทษ ทว่าใบหน้าของไท่ซือเฉินที่อยู่ห่างเพียงแค่ปลายจมูก กลับทำให้นางต้องกลั้นหายใจด้วยความตกใจ
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่าข้าตาต่ำที่เรียกเจ้ามาในคืนนี้อย่างนั้นรึ” ไท่ซือเฉินถามเสียงดุ ทว่าในใจนั้นกลับไม่ได้ขุ่นข้องหมองใจเลยสักนิด
จ้าวหลันคิดว่าตัวเองล้ำเส้นไปแล้วจึงรีบผละตัวออกอย่างรวดเร็ว แล้วลงรีบลงไปนั่งคุกเข่าคำนับที่พื้นด้วยความเกรงกลัว
“หลันเอ๋อร์ไร้สติปัญญา มิกล้ากล่าวหาท่านชายเช่นนั้น ท่านชายโปรดอภัย!”
บุรุษหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปพยุงนางให้ลุกขึ้น
“หากข้ามิให้อภัย เจ้าจะทำเช่นใด”
จ้าวหลันมิอาจสู้หน้าได้ จึงเอาแต่ก้มมองพื้น จากนั้นค่อยตอบอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“หลันเอ๋อร์ต่ำต้อย เป็นเพียงทาสสงครามมิอาจมีปากมีเสียง ยามนี้ชีวิตของหลันเอ๋อร์อยู่ในกำมือของท่านชายแล้วเจ้าค่ะ” ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด นางจึงคิดว่าไท่ซือเฉินผู้นี้แตกต่างจากข่าวลือ เมื่อเงยหน้าเห็นแววตาของเขาแล้ว กลับดูเป็นผู้ใหญ่ไม่เหมาะกับฉายาท่านชายปีศาจเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้นางจึงพลั้งปากไปอีกรอบ
“เป็นของข้าอย่างนั้นรึ” ไท่ซือเฉินหัวเราะในลำคอ พลางคิดว่านางก็มีหัวคิดไม่เบา รู้จักเข้าหาผู้มีอำนาจและใช้อำนาจของเขาเพื่อปกป้องตนเอง “หากข้าไม่สนใจเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร”
“หลันเอ๋อร์ก็จะเป็นนักดนตรีของหอรุ่ยเยว่ต่อไปเจ้าค่ะ” จ้าวหลันตอบเสียงอ่อน ก่อนช้อนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเว้าวอน
ไท่ซือเฉินสบตากลับจากนั้นถอนหายใจออกมาเบาๆ หากเป็นสตรีอื่นมาทำเช่นนี้คงถูกตนไล่ออกจากห้องไปนานแล้ว ทว่าทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น โดยเฉพาะกับคนที่ตนถูกใจ ยิ่งไปกว่านั้น วิชาของนางก็มีประโยชน์ต่อตนเป็นอย่างมาก
ครั้นคิดได้ก็กระตุกยิ้ม จากนั้นรวบอุ้มร่างของนางขึ้นและตอบกลับด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“เจ้ากล่าวเองว่าเจ้าเป็นของข้า เช่นนั้นราตรีนี้ก็เป็นของข้าเช่นกัน”
จ้าวหลันค่อยๆ ลืมตาขึ้นหลังจากได้ยินเสียงของนกน้อยกำลังออกหากินในยามเช้าตรู่ ทว่าทันทีที่ขยับตัวกลับเป็นฝ่ายต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนกำลังสวมกอดนางเอาไว้จากด้านหลัง และเมื่อเรียบเรียงความคิดแล้วก็จับใจความได้ว่าราตรีที่ผ่านมา นางมิได้ถูกปล่อยตัวแต่อย่างใด แต่ถูกไท่ซือเฉินกักตัวเอาไว้ตลอดทั้งคืน
ทว่านอกจากกอดแล้ว เขากลับมิได้กระทำสิ่งใดที่เป็นการล่วงเกินเลยแม้แต่น้อย ขนาดตื่นขึ้นมา เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางก็ยังอยู่บนร่างกายครบทุกชิ้น
ครั้นเห็นว่าตนเองปลอดภัยจากเงื้อมมือมัจจุราชแล้ว จ้าวหลันจึงค่อยๆ ขยับตัวลงจากเตียง ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวขาลง กลับถูกมือใหญ่คว้าเอวเอาไว้เสียก่อนจนนางสะดุ้ง
“ท่านชาย!” เสียงหวานร้องออกมาด้วยความตกใจหลังจากถูกจับลงไปนอนอีกครั้ง คราวนี้ได้เห็นใบหน้ารูปสลักอยู่ใกล้เพียงเอื้อม ก็เผลอกลั้นหายใจอีกครา
“หากยังกลั้นหายใจนานกว่านี้ เจ้าคงมิได้ออกจากหอรุ่ยเยว่เป็นแน่” เสียงทุ้มกล่าว ดวงตาเรียวดุมองใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างเอ็นดู
น้ำเสียงไร้ซึ่งอาการอย่างคนเพิ่งตื่นนอนทำให้จ้าวหลันรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้หลับ หากแค่ต้องการแกล้งนางเพียงเท่านั้น แต่กระนั้นนางก็ไม่สามารถมีโทสะต่อเขาได้ แค่มีชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
ทว่านางกลับติดใจในสิ่งที่ไท่ซือเฉินกล่าว
“ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ที่ว่า...หลันเอ๋อร์คงมิได้ออกจากหอ...”