สิ้นเสียงคำสั่งของไท่ซือเฉิน หัวใจของจ้าวหลันก็เต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าขาวร้อนผ่าวอย่างมิอาจควบคุมได้ แล้วนางก็ไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งของเขาได้ จึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาอย่างสำรวม ทว่าอยู่ๆ ไท่ซือเฉินกลับล้มตัวนอนลงบนเตียงเสียดื้อๆ ทำให้นางถึงกับสับสน
“นั่งลง” ไท่ซือเฉินสั่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่านางยังคงกังวล
ไท่ซือเฉินรู้ตัว จากชื่อเสียงก็น่ากังวลอยู่ ที่ว่าตนมักสังหารนางโลมหากไม่ถูกใจ แต่ความจริงแล้วนางโลมผู้นั้นเป็นนักฆ่าที่พวกขุนนางฝั่งท่านชายรองส่งมาต่างหาก
แม้ยังไม่ปักใจเชื่อว่าน้องรองของตนจะเป็นผู้บงการ ทว่ากลับเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำเหล่านี้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะพระชายาที่มักเห็นตนเป็นเสี้ยนหนามต้องกำจัดทิ้ง
ดังนั้นหลังจากสังหารไปเพียงครั้งเดียว ข่าวลือก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
จ้าวหลันนั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง นางมิอาจวางใจได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมก็ตามที ทว่าไท่ซือเฉินกลับหลับตาลง ทำให้นางสงสัยมากกว่าเดิม
เขาต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่ หากต้องการความสำราญยามค่ำคืน ก็สามารถสั่งให้นางปรนนิบัติได้ทันที แต่บุรุษผู้นี้กลับไม่กระทำสิ่งใดสักอย่าง อีกทั้งยังเอาแต่หลับตาให้นางดู
“บรรเลงให้ข้าฟังสักเพลง”
สิ้นคำสั่งสั้นๆ จากคนบนเตียง จ้าวหลันก็เข้าใจในความหมายทันที ที่แท้ท่านชายไท่ซือเฉินก็แค่ต้องการให้นางขับกล่อมนี่เอง
จ้าวหลันถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก โล่งอกที่บุรุษผู้นี้จำนางไม่ได้และโล่งใจที่เขาไม่ได้คิดจะสังหารนาง ดูเหมือนว่าข่าวลือกับความจริงจะแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ส่วนที่ตรงตามข่าวลือนั้นคงเป็นความเย็นชากระมัง
จ้าวหลันยกขลุ่ยขึ้นมาก่อนจะเป่าเป็นทำนองเพื่อขับกล่อมตามคำบัญชา เพลงขับกล่อมที่มารดาของนางเคยสอน ค่อยๆ ถูกปลดปล่อยให้ผู้ฟังได้คล้อยตามและผ่อนคลาย
นับตั้งแต่มาอยู่ในหอนางโลม เป็นสิบปีแล้วที่นางต้องเล่นแต่บทเพลงเพื่อความสนุกสนาน เพื่อให้นางโลมที่ออกมาร่ายรำโดดเด่นที่สุด จนลำคอของนางแหบแห้งไปหมด แตกต่างจากครั้งเป็นท่านหญิง ที่แม้จะชอบเล่นดนตรี แต่ก็เป็นเพียงแค่งานอดิเรกเท่านั้น
ปลายนิ้วที่พลิ้วไหวบอกถึงประสบการณ์ชีวิต ที่อย่างน้อยในสิบปีนี้ก็ไม่สูญเปล่า
เสียงเพลงจากขลุ่ยบรรเลงไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งถึงบทสุดท้ายเพื่อส่งผู้ฟังเข้าสู่นิทรา จ้าวหลันลอบมองคนที่นอนอยู่ข้างกาย เห็นว่าไม่ขยับกายและลมหายใจก็สม่ำเสมอ จึงคิดว่าไท่ซือเฉินได้หลับไปแล้ว ทว่าทันทีที่ขยับตัวเพื่อจะลงจากเตียง ข้อมือของนางกลับถูกคว้าเอาไว้ ทำเอาตกใจจนแทบกรีดร้องออกมา
“ท่าน...!” คนตัวเล็กสะดุ้งเมื่อถูกฉุดให้นั่งลงตามเดิม
“ข้าอนุญาตให้เจ้าออกไปแล้วหรือ” เสียงทุ้มดุถาม ดวงตาคมกริบจ้องมองใบหน้างดงามไม่วางตา ในใจนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
บทเพลงนี้มาจากแคว้นจ้าวจงไม่ผิดแน่ เพราะตนเคยได้ยินมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นพลังจากเสียงเพลงที่ตนรับรู้ มักจะสืบทอดวิชาผ่านทางสายเลือด หากแต่วิชาของนางยังขาดการฝึกฝน จึงไม่สามารถขับกล่อมให้ตนหลับสนิทได้
สาเหตุหนึ่งในการโค่นล้มแคว้นจ้าวจง ก็เป็นเพราะเคล็ดวิชานิทราลวงฝัน ทำให้เบื้องบนเกิดความหวาดกลัว แอบสั่งการแคว้นโจวจงอย่างลับๆ ให้ก่อสงครามอย่างกะทันหัน เมื่อแคว้นจ้าวจงรับมือไม่ทันก็พ่ายแพ้ยับเยิน
ในแคว้นจ้าวจง ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้มีเพียงไม่กี่สกุลที่ได้รับการสืบทอดเท่านั้น และหนึ่งในนั้นคือสกุลอ๋อง
เขาได้ยินมาว่าสกุลอ๋องสิ้นสุดสายเลือดแล้ว พวกเขาถูกสังหารท่ามกลางกองเพลิง ทว่ามีเพียงศพเดียวเท่านั้นที่แยกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด หากแต่มีลักษณะใกล้เคียงกับท่านหญิงอู่หราน ซึ่งเขายังมิได้ปักใจเชื่อเท่าใดนัก
หลังจากตามหานางมาอย่างยาวนานเป็นสิบปีจนเกือบยอมแพ้ไปแล้ว กลับได้มาพบกับผู้ที่มีพลังของนิทราลวงฝันเสียได้ ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
ในเมื่อเป็นผู้สืบทอดเคล็ดวิชาต้องห้าม หากเป็นประสงค์ของเบื้องบน เขาคงต้องสังหารนางเสีย หากแต่นางคือเบาะแสเดียวของท่านหญิง ดังนั้นจะปล่อยให้ตายไปมิได้
คงต้องรับนางเข้าจวน
“วางขลุ่ยของเจ้าลง แล้วมาใกล้ๆ ข้า” ไท่ซือเฉินสั่งเสียงเรียบ
ภายใต้ความกดดันทำให้จ้าวหลันไม่สามารถขัดคำสั่งได้ หากต้องการมีชีวิตรอดต่อไป ก็ต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
จ้าวหลันวางขลุ่ยลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียง จากนั้นค่อยๆ ขยับกายเข้าไปใกล้ด้วยความหวั่นเกรง ดวงตากลมมองร่างกำยำบนเตียงด้วยความระแวง เพราะนางอยู่ในหอนางโลมมาเป็นสิบปี คุ้นชินกับเรื่องคาวโลกีย์มามาก ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีประสบการณ์เนื่องจากร่างกายอันอัปลักษณ์ของตัวเอง แต่นางย่อมรู้ดีว่าชายหญิงต้องทำเช่นไร
หากแต่นางเป็นสตรีมีตำหนิ ไม่คิดว่าจะถูกใจท่านชายผู้สูงศักดิ์เช่นเขา