ไท่ซือเฉินเดินเข้ามาใกล้ร่างเล็กที่สั่นเทาราวกับกระต่ายถูกโยนเข้ามาในกรงราชสีห์ แต่หากพิจารณาถึงข่าวลือที่ตนสร้างมานานหลายสิบปี ก็นับว่าสำเร็จผล ไม่ว่าจะสตรี เด็ก หรือคนชราล้วนแต่ไม่กล้าเงยหน้าสบตากับตนทั้งสิ้น แม้ว่าข่าวลือนั้นจะเกินจริงไปบ้างก็ตามที โดยเฉพาะเรื่องมักมากในกาม
ทว่าการเลือกนางในคืนนี้กลับมิได้เกี่ยวข้องกับการปรนนิบัติเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะเสียงของขลุ่ยอันแสนคุ้นเคยต่างหาก ยากนักที่จะหามือขลุ่ยที่มากฝีมือเช่นนี้ในไท่จง แต่หากเป็นแคว้นที่ล่มสลายไปเมื่อสิบปีก่อน คนที่เล่นขลุ่ยได้ไพเราะที่ตนรู้จัก คงมีเพียงท่านหญิงจ้าวอู่หรานคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ตนจะรู้สึกติดใจ
หากแต่ท่าทางของนางกลับไม่เหมือนนางโลมเลยสักนิด นอกจากจะไม่คิดเข้ามายั่วยวนแล้ว กลับเอาแต่ก้มหน้า ราวกับนักโทษกลางลานประหาร
“เงยหน้าขึ้น” เสียงทุ้มเย็นชาออกคำสั่ง
แน่นอนว่าคำสั่งของท่านชาย มีเพียงคนที่ไม่รักตัวกลัวตายเท่านั้นที่จะกล้าขัด ในขณะที่นางเป็นเพียงแค่ทาสสงครามสถานะต่ำต้อย แม้จะฝืนใจ ก็ต้องทำตามอยู่ดี
จ้าวหลันค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แต่กระนั้นก็ไม่ยอมสบสายตากับบุรุษตรงหน้าอยู่ดี และเมื่อถูกเรียวนิ้วยาวเชยคางขึ้น ร่างกายของนางก็สั่นอย่างมิอาจห้ามได้
เพราะนางกลัว กลัวว่าเขาจะจำอดีตคู่หมั้นผู้นี้ได้
ใบหน้าของนางยามต้องแสงจากตะเกียงและจันทรานั้นช่างงดงามหาที่เปรียบ หัวใจของไท่ซือเฉินกระตุกวาบครั้งเห็นใบหน้าของอดีตคู่หมายที่หายสาบสูญทับซ้อนกับใบหน้าของนาง
เป็นไปไม่ได้
“จงบอกนามของเจ้ามา”
หัวใจของจ้าวหลันแทบร่วงหล่นลงพื้น เนื่องจากกลัวว่าความลับที่นางปกปิดมานานจะถูกจับได้
แต่หากคิดอีกแง่หนึ่ง นางกับไท่ซือเฉินเคยพบกันเพียงแค่สองสามครั้งเท่านั้น ยิ่งห่างกันมานาน ต่างคนต่างแยกกันเติบใหญ่ อีกทั้งบุรุษผู้นี้ยังผ่านสตรีงามมามากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่น่าจำนางได้
ครั้นคิดได้เสร็จสรรพ ก็ค่อยๆ ทำใจกล้า ตอบคำถามนั้นออกไป
“นามจ้าวหลัน ไม่มีแซ่เจ้าค่ะ” นางตอบเสียงแผ่วเบา
การตอบความเท็จต่อหน้าท่านชายใหญ่แห่งแคว้นไท่จง นับเป็นเรื่องที่ทั้งกล้าหาญและบ้าบิ่น หากถูกจับได้ ทาสสงครามเช่นนางคงถูกประหารโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง
แต่นางไม่มีทางเลือก นางละทิ้งแซ่จ้าวแห่งจ้าวจงมานับสิบปีแล้ว ส่วนจ้าวหลันก็มาจากชื่อของทาสสงครามที่ตายไปก่อนที่นางจะถูกขายมายังหอนางโลมแห่งนี้
จ้าวอู่หรานได้ตายจากนางไปแล้ว เหลือเพียงจ้าวหลันที่เป็นนักดนตรีเท่านั้น
ไท่ซือเฉินกระตุกยิ้มบาง ในใจรู้สึกสับสน คงเพราะสิบปีมานี้หลังจากที่แคว้นจ้าวจงล่มสลาย ตนได้คอยตามหาคู่หมั้นหมายที่หายสาบสูญไปอย่างไม่ลดละ อย่างน้อยนางก็เป็นรักแรกที่มิอาจตัดขาด หากไม่เห็นศพก็ยากจะเชื่อว่านางได้จากโลกนี้ไปแล้ว
“ไม่มีแซ่อย่างนั้นรึ เจ้าเป็นทาสสงครามหรืออย่างไร”
คำถามของไท่ซือเฉินทำให้คนฟังถึงกับเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยความตกใจ นางเผลอลืมไปว่าในแผ่นดินไท่จง ประชาชนทุกคนล้วนมีแซ่มาแต่กำเนิด ในขณะที่ทาสสงครามจากแผ่นดินอื่นจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้แซ่จนกว่าจะได้รับการไถ่ถอน ซึ่งต้องใช้ทั้งเงินและเวลา ทำให้ทาสสงครามส่วนใหญ่ถูกขายให้ผู้มีเงิน หากเป็นบุรุษก็กลายแรงงานทาส หากเป็นสตรีก็มักจะถูกส่งขายไปยังหอนางโลม
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อนางทำใจมาสิบปีแล้ว
“เจ้าค่ะ ท่านชาย”
เมื่อท่านชายใหญ่ได้ฟังคำตอบแสนจะตรงไปตรงมาก็หัวเราะลั่น หากเป็นนางโลมคนอื่นคงตีหน้าเศร้าเล่าอดีตให้ตนฟังมากกว่านี้เสียอีก ทว่าสตรีผู้นี้กลับแตกต่าง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังหวาดกลัวตนจนตัวสั่น แต่กลับให้คำตอบที่กระชับและได้ใจความอย่างง่ายดายด้วยสีหน้าคล้ายปลงในโชคชะตา
จ้าวหลันเห็นภาพตรงหน้าก็เผลอเอียงคอด้วยความสงสัย สงสัยว่านางตอบสิ่งใดน่าขันไป เขาถึงได้หัวเราะออกมาเช่นนี้ ผิดกับบรรยากาศเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“เจ้าเป็นคนแรกที่ตอบข้าอย่างกล้าหาญ รู้หรือไม่ว่าทาสสงครามกับท่านชายเช่นข้ามีสถานะต่างกันเพียงใด แต่เจ้ากลับไม่เกรงกลัวเลยสักนิด” ไท่ซือเฉินถามพร้อมกับยืนขึ้นอีกครั้ง จากนั้นค่อยเดินยังเตียงนอนที่อยู่ไม่ไกลนัก
จ้าวหลันมองตามร่างสูงไปด้วยความฉงนที่อยู่ๆ เขาก็ปล่อยนางไปอย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่ไท่ซือเฉินกล่าวมาก็ไม่ผิดนัก ตัวนางนั้นไม่ได้กลัวเขาที่ตำแหน่ง แต่กลัวข่าวลือของเขาต่างหาก ทว่าสิ่งที่ได้สัมผัสกับสิ่งที่ได้ยินในวันนี้ กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
“มาหาข้า”