ตอนที่ 12
“อืม ฮูหยินรองเพียงแค่ป่วยใจเท่านั้น” ไป๋หย่งเล่อ กล่าวขึ้นมา แต่ดูเหมือนจะมีสายตาอำมหิตจากใครบางคนส่งมาให้ เขารู้ตัวแต่วางท่าเมินเฉยมิใส่ใจ
“อ้อ คงจะเพราะหมิงเอ๋อร์กลับสำนักศึกษากระมัง ทำให้ท่านแม่ป่วย” ฟางหรูคิดเช่นนั้น “ท่านหมอไป๋รอสักครู่นะเจ้าคะ” ว่าแล้วนางก็เดินไปหยิบปิ่นหยกลายเหมยกุ้ยสีแดงขึ้นมาหนึ่งอัน ส่งมอบให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า
“ข้ามอบให้คุณหนูไป๋ หวังว่านางจะชอบ” น้องสาวของท่านหมอไป๋หย่งเล่อ ชมชอบเครื่องประดับงดงาม และมักจะแต่งกายเฉิดฉายนัก นางดูโดดเด่นที่สุดในเมืองตงหยาง แต่ทว่าก็ดูน่ารักแม้มิได้งดงามจนเกินไป
“คุณหนูขอรับ” ชายผู้นี้กระทำตนหยาบช้านัก กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ให้โอกาสข้าน้อยอีกสักครั้งเถอะ ข้าขอร้องล่ะ”
“ข้าก็บอกท่านแล้วอย่างไร พรุ่งนี้ให้ไปพูดกับท่านพ่อ วันนี้ก็กลับบ้านไปก่อนก็แล้วกัน ที่นี่ข้าจะดูแลเอง” คำสั่งของนางคล้ายกับสายฟ้าฟาดลงมากลางหัวของชายคนนี้ ทำให้เขาก้มหน้าเดินออกจากร้านด้วยสีหน้าหมองหม่น จิตใจห่อเหี่ยว แข้งขาอ่อนแรงแทบจะก้าวออกจากร้านไม่ไหว วันนี้เขาซวยจริง ๆ เมื่อคิดได้ก็ดูจะสายเกินไป
“หรูเอ๋อร์ ของพี่ ช่างยอดเยี่ยมที่สุด” เมื่อเห็นคนงามกล่าวจบ คนตัวโตขึ้นลุกขึ้นมายืนขนาบข้าง พร้อมกับสอดมือของตนเองกระชับเอวคอดกิ่วของร่างเล็กเข้ามาให้แนบแน่น “วันนี้พี่จะอยู่ด้วยจนเจ้าปิดร้าน” เขาว่าแต่กลับส่งสายตายียวนไหวไหล่ให้อีกฝ่ายอย่างผู้มีชัยชนะ เพราะรู้ว่าชายคนนี้คิดไม่ซื่อกับว่าที่ภรรยาของเขา
ไป๋หย่งเล่อเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ เขาส่งยิ้มให้สาวงาม “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนขอรับ เชิญพวกท่านตามสบาย” แม้มิพอใจอีกฝ่าย แต่ก็ต้องแสร้งเป็นไม่สนใจความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ยามนี้นางยังไม่ได้แต่งงาน เป็นเพียงแค่คู่หมั้นเขาก็มีสิทธิ์
“ปล่อยข้าได้แล้ว” ฟางหรูพยายามแกะมืออันเหนียวแน่นของเขาให้ออกจากเอวของนาง แต่ก็ดูไม่เป็นผล เขายังกระชับนางให้เข้าไปแนบแน่นขึ้น สร้างความอึดอัดให้นางไม่น้อย พลันรู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมาลามจนถึงใบหู เกิดมาไม่เคยใกล้ชิดกับใครมาก่อน
“กลัวใครจะมาเห็นรึ หรือว่ากลัวเจ้าหมอนั่นจะเข้าใจผิด” คนตัวโตหึงนางขึ้นมาอย่างดื้อ ๆ ไม่ยอมปล่อยมือออกจากเอวของนางอย่างเด็ดขาด ยามกระชับร่างอันบอบบางของนางเข้ามา ได้กลิ่นหอมทำให้เขาชื่นใจไม่น้อย อีกทั้งพวงแก้มของนางยังดูแดงระเรื่อ ริมฝีปากของนางทำให้เขาหลงใหล อยากจะบดเบียดสัมผัสกลีบปากอันงดงามใจจะขาด
“หาใช่เช่นนั้นไม่ ข้ากับท่านยังไม่ได้” ฟางหรูผลักชายหนุ่มให้ออกไปได้เสียที ทำให้หลิวมู่ฉวนตีหน้างอเง้าคิ้วขมวดด้วยความไม่พอใจใส่นาง “จะโกรธก็โกรธไปเถอะ ข้าไม่ชอบง้อใคร หากไม่พอใจก็ถอนหมั้นไปสิ” ว่าแล้วชายหนุ่มถือวิสาสะ เขากระชับร่างบอบบางของนางหลบมาตรงมุมห้อง มิให้ได้พบเห็น
กลีบปากของชายหนุ่มทาบทับลงที่กลีบปากนุ่มนิ่มกลืนกินอย่างตะกละตะกลาม ลิ้นสากกระหวัดเกี่ยวรัดพัวพันลิ้นเล็กของอีกฝ่ายอย่างช่ำชอง ฟางหรูหูอื้อ ตาลายไปหมด เกิดมาเพิ่งจะถูกผู้ชายจูบครั้งแรก นางดิ้นรนขัดขืนแต่ไม่เป็นผล เขายังคงพรมจูบนางอย่างเร่าร้อนและร้อนแรง ผสมกับความนุ่มนวลและอ่อนหวาน ชักชวนให้นางเคลิบเคลิ้มตามเขาเข้าให้
ชายหนุ่มละริมฝีปากออกจากกลีบปากเรียว “ต่อไปนี้ห้ามดื้อ ห้ามมองชายอื่น ห้ามบอกว่าจะถอนหมั้นอีก หาไม่แล้ว ข้าจะจูบเจ้าแบบนี้อีก พูดว่าถอนหมั้นข้าจะจูบ พูดกี่ครั้งก็จะจูบเจ้าทุกครั้ง” เขายิ้มหวานอย่างถูกใจ ดวงตาของเขาเป็นประกายแห่งความยินดี
“เอะอะก็จูบ เอะอะก็จูบ ท่านมันช่างร้ายกาจยิ่งนัก” ฟางหรูยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากตนเอง ส่งสายตาบึ้งตึงไม่พอใจเขาเป็นอย่างมาก แต่นางไม่อาจจะต่อกรกับเขาจริง ๆ เขาช่างร้ายกาจนัก คำข่มขู่ของเขาทำให้นางหวาดกลัว หาไม่แล้วเขาจะจุมพิตนางจนปากบวมเจ่อ มิอายผู้คนหรอกหรือ
แน่นอนว่าหลิวมู่ฉวนมีชั้นเชิงเหนือกว่า ยืนกอดอกส่งสายตาหวานเชิญชวนให้นางลองพูดอีกครั้ง เขาจะบดเบียดกลีบปากอันนุ่มนิ่ม ลิ้มลองเพียงแค่ครั้งเดียวก็พาลอยากจะกลืนกินนางไปทั้งตัว ช่างน่ารักเกินไปแล้ว เขาไม่อาจจะต้านเสน่ห์ของนางไหว เด็กอะไรไม่รู้ยิ่งรู้จักยิ่งทำให้เขาหลง อนาคตเขาคงจะหลงใหลเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้น
“ก็ใครใช้ให้คู่หมั้นของข้า ทั้งดื้อรั้น ทั้งน่ารัก อีกทั้งยังพยศราวกับม้าศึกเช่นนี้เล่า หากยังดื้อดึงมิยอมทำตามที่สั่ง ข้าจะจูบเจ้าอีกครั้ง” เขากล่าวขึ้นมา คิดว่าอย่างไรเสียนางจะต้องไม่กล้าแน่ ๆ หาไม่เช่นนั้นเขาจะได้กินเต้าหู้นางจนอิ่มหนำ
ไป๋หย่งเล่อก้าวออกไปยังไม่พ้นหน้าประตู ทว่าได้ยินเสียงของนางในดวงใจหยอกล้อกับชายคนนั้น เขาจึงได้พบเห็นภาพอันบาดตาบาดใจ พลันภายในหน้าอกด้านซ้ายก็รู้สึกปวดร้าว เจ็บแปลบทรมานยิ่งนักราวกับมีดกรีดลึกลงไปยังขั้วหัวใจ แววตาแข็งกร้าวและแดงก่ำ อีกทั้งยังเอ่ยขึ้นมาว่า
“ข้าจะทำทุกวิถีทางให้นางเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว!”
หลังจากหลิวมู่ฉวนกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว ท่านลุงของเขาก็ประกาศข่าวดี หลานชายเพียงคนเดียวจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา เมื่อข่าวลือนี้ลอยเข้ายังจวนตระกูลตง อดีตคนรักของหลิวมู่ฉวนมีสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ นางอยากจะได้ยินจากปากของเขาเอง ดังนั้นนางจึงมาดักรอพบชายหนุ่มที่ลานฝึกทหาร
จะให้นางรอนานเท่าไหร่ นางก็ยินดี นางแค่เพียงปรารถนาจะได้พบหน้าของเขาอีก
ชายหนุ่มสีหน้าไม่ใคร่พอใจสักเท่าไหร่ ในเมื่อนางเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์เมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์เฉกเช่นสหาย พูดคุยกันในเรื่องทั่ว ๆ ไปได้ ยามนั้นเขาอกหักชอกช้ำใจอยู่นานนับเดือน แต่พอเริ่มทำใจได้ นางก็เป็นฝ่ายมาพูดคุยและกล่าวขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมา
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอดีตคนรักมิได้เป็นสตรีสองใจ เพียงแค่นางทำตามคำสั่งของครอบครัว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหลิวมู่ฉวนมิได้ติดใจเอาความ หรือแค้นเคืองนางมากนัก ย่อมเข้าใจเหตุผลเสมอ พวกเขาทั้งคู่คงไว้สถานะเดียวคือ สหายกัน ชายหนุ่มเห็นอดีตคนรักสีหน้าดูจะโศกเศร้า จึงได้ถามนางขึ้นมาว่า “เจ้ามาที่นี่มีธุระอันใด”