ตอนที่ 11
ภายในตลาดของเมืองตงหยาง คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเดินเบียดเสียดจับจ่ายใช้สอยอย่างคึกคัก บรรยากาศในยามพลบค่ำนั้นอากาศไม่ร้อนจัด แต่ทว่าตลาดเมืองตงหยางมักจะเปิดแต่เช้าตรู่และยาวไปถึงยามมืดค่ำแล้ว ทำให้เหล่าชาวบ้านออกมาซื้อของทำอาหารได้สะดวกสบายไม่น้อย ไม่ต้องเร่งรีบในช่วงเช้า ๆ
ฟางหรูมักจะออกมาเดินเวลายามพระอาทิตย์ตกดิน อากาศไม่ร้อนอบอ้าว และยังชอบแต่งกายเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม หากใครไม่รู้จักก็คิดว่านางเป็นคุณชาย เห็นเช่นนี้แล้ว สตรียังมีแอบมายื่นผ้าเช็ดหน้า กระทั่งมาพบหน้าสารภาพรักอีกด้วย กระนั้นทำให้ฟางหรูบอกความจริง จนทำให้สาวงามทั้งหลายเจ็บปวดใจ ก็พากันก่นด่านางเสียยกใหญ่ โทษฐานทำให้พวกนางอับอายขายหน้า
ฟางหรูหยุดการเดินลงที่ร้านขายเครื่องประดับแห่งหนึ่ง และนั่นก็คือกิจการของตระกูลเถา ข้างกายของนางมีชายหนุ่มติดตามมาด้วย หลังจากที่ทั้งคู่พูดคุยแบบเปิดใจกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็มีใจให้กันและกัน มันก็จึงไม่ใช่เรื่องยากนัก สำหรับความรักในครั้งนี้ ผู้ที่ดีใจนักหนาก็คงจะเป็นท่านรองแม่ทัพหลิว
สาวงามใบหน้าพริ้มเพราสวมชุดบุรุษ ผู้คนในตลาดนี้ก็มักจะคุ้นชินอยู่บ้าง ดังนั้นจึงทราบว่าแท้จริงแล้วนางคือสตรี มิใช่บุรุษ มือเรียวหยิบปิ่นลวดลายงดงามขึ้นมาดู “เถ้าแก่ ปิ่นอันนี้ราคาเท่าไหร่”
“คุณหนู นี่เป็นสินค้าใหม่ของร้าน เพิ่งนำมาลงขายเมื่อวานขอรับ ราคาจะสูงสักนิด ห้าตำลึงเงินขอรับคุณหนู” เถ้าแก่ยิ้มร่า ลาภปากเขาแล้ววันนี้ เพราะนายท่านไม่อยู่ที่ร้านทางสะดวกเขาจึงคิดจะหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
“ไม่แพงไปรึนี่ราคาก็แค่ สามตำลึงเงินก็นับว่าสมเหตุสมผล” ฟางหรูชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ ราคาที่นางกำหนดต้องไม่เกินไปกว่าสามตำลึง ราคาที่เถ้าแก่คนนี้พูดมานั่นคือสูงจนเกินไป หากขายไม่ออกเล่ามิขาดทุนย่อยยับหรอกหรือ ว่าแล้วก็เหลือบตามองปิ่นมุขธรรมดาที่วางอยู่ในถาดหน้าร้านขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น หยั่งเชิงถามราคาอีกครั้งด้วยความสงสัย
“แล้วอันนี้เล่า เท่าไหร่เถ้าแก่” สีหน้าของนางทำให้ชายหนุ่มผู้ติดตามมาด้วยแปลกใจไม่น้อย ปกติแล้วเวลาที่ฟางหรูมาเดินตลาดจะไม่มีผู้ติดตาม หรือสาวใช้เดินตามมาดูแล นั่นเพราะว่านางดูแลตัวเองได้ มิใช่สตรีร่างกายอ่อนแอปวกเปียก ใครจะมารังแกนางได้ มีแต่นางจะรังแกคนอื่นต่างหาก
“อันนี้ สองตำลึงเงินขอรับคุณหนู” ชายสูงอายุกล่าวขึ้นมา สีหน้าของเขายังราบเรียบ แต่ทว่าแอบแฝงด้วยความไม่พอใจนัก เขาไม่ค่อยได้พบผู้ใดเอ่ยถามมากความเช่นนี้มาก่อน
“เถ้าแก่ไม่ได้ขายแพงเกินกว่าที่กำหนดเอาไว้หรือ นี่มันราคาไม่น่าจะถึงหนึ่งตำลึงเสียด้วยซ้ำไป” ฟางหรูหงุดหงิดขึ้นมาทันใด เมื่อรู้ว่าราคาที่นางกำหนดเอาไว้ว่าควรจะไม่สูงมาก ทำให้ขายง่าย มิน่าเล่าพักนี้ร้านขายเครื่องประดับขายไม่ดีนัก
“โถ! คุณหนูขอรับ ของซื้อของขาย ราคาก็ย่อมต้องแพงเป็นธรรมดาจะมาขายถูก ๆ ได้อย่างไรเล่า สินค้าของร้านเรานั้นเน้นคุณภาพ ราคาก็ย่อมสูงสิขอรับ!” ชายสูงวัยชักสีหน้าไม่พอใจ ส่งน้ำเสียงแข็งกระด้างใส่ลูกค้าคนนี้เข้าให้ แสดงทีท่าไม่ยอมความ มิหนำซ้ำยังพูดจาไม่ดีอีก
เห็นทีว่าฟางหรูจะคิดถูกแล้ว ชายหนุ่มติดตามนางมา เขาไม่ได้พูดอันใดสักครึ่งคำ เพียงแค่ยืนรอดูว่าคู่หมั้นสาวแสนสวยของเขาจะจัดการอย่างไรดี “อืม เช่นนั้นเจ้ารู้จักเถาฟางหรูหรือไม่” นางเอ่ยถามขึ้น คราวนี้สีหน้าของนางดูเปลี่ยนไปทันที ดูขึงขังและเคร่งเครียดทีเดียว
“ทำไมจะไม่รู้จักเล่าขอรับ นางเป็นคุณหนูใหญ่ ผู้ออกแบบเครื่องประดับจำพวกปิ่น” เขากล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ ว่าคนที่ออกแบบปิ่นพวกนี้ก็คือคุณหนูใหญ่ บุตรสาวเถ้าแก่เถาจื่อเทา เจ้าของร้านตัวจริง แต่หารู้ไม่ว่าเถาฟางหรูได้ยืนอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับจะจัดการเถ้าแก่คนนี้ให้หลาบจำ ไม่แน่อาจไล่ออกจากร้านเสีย ทำให้ชื่อเสียงของทางร้านเสียหายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าคงจะทำมานานแล้วอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าไม่รู้จักข้า!” ฟางหรูเดินเข้าไปข้างในร้านน้ำเสียงตวาดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว ไม่บ่อยนักที่นางจะออกมาดูแลกิจการร้านขายเครื่องประดับ ส่วนมากบิดามักจะให้นางอยู่ที่จวน ดูแลเรื่องต่าง ๆ ช่วยฮูหยินรอง
ฟางหรูเป็นคนหัวไว เขียนอ่านอักษรของแคว้นจิ่วโจวได้ดี ทว่าแคว้นหนานของนางนั้น การเขียนและการพูดคล้ายคลึงกับแคว้นจิ่วโจว ขนบธรรมเนียมแตกต่างกันยิ่งนัก
“ข้าไม่เคยรู้จักคุณหนูมาก่อน” ชายสูงวัยเดินตามแผ่นหลังของคนที่กล่าวอ้าง พลันทำให้ตนเองนั้นมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า ฝ่ามือและแผ่นหลังพลางชื้นเหงื่ออีกด้วย บรรยากาศช่างดูอึดอัดนัก
“แล้วนี่เล่า พอจะยืนยันได้หรือไม่ ว่าข้าคือใครกัน” ฟางหรูยิ้มเหี้ยม แววตาดูดุร้ายยิ่งนัก นางดึงป้ายหยกที่ห้อยอยู่กับสายคาดเอวออกให้ชายผู้นี้ได้ดูเป็นขวัญตา พลันทำให้ชายคนนี้ถึงกับเข่าอ่อนทรุดกายคุกเข่าลงมาที่พื้นทันที
“คุณหนูได้โปรดเมตตาข้าด้วย อย่าไล่ข้าออกเลยนะขอรับ” คราวซวยมาเยือนทันที เมื่อครู่ชายคนนี้ยังกล้าตีฝีปากกับนางอยู่ แต่บัดนี้กลับหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก สร้างความตื่นเต้นให้กับหลิวมู่ฉวนไม่น้อย
คู่หมั้นรูปหล่อหย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้ เท้าคางดูแม่สาวน้อยของเขาจัดการต่อไป ไม่แม้แต่จะปริปากพูดอันใดออกมาให้ระคายหูอีกฝ่าย กลับตรงกันข้าม เขาชื่นชอบนางนัก เมื่อเห็นนางดูร้ายกาจเช่นนี้ก็ยิ่งชอบใจ
“จะไม่ให้ข้าไล่เจ้าออก คิดว่าข้าใจดีขนาดนั้นเชียวรึ ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำกำไรได้มากโขสินะ เสื้อผ้าของเจ้าจึงได้ดูดีราคาแพงไม่เบา” ฟางหรูยิ้มเยาะ นางหย่อนก้นนั่งลง ใบหน้างดงามบึ้งตึงขึ้นมาหลายส่วน สีหน้าและน้ำเสียงดูเหี้ยมขึ้นมากโข “ข้าจะบอกท่านให้นะ ข้าไม่ใช่ว่าไม่เคยให้โอกาสคน แต่เห็นว่าท่านทำงานที่นี่มานาน ดังนั้นท่านพ่อกลับมาพรุ่งนี้ เจ้าก็ไปสารภาพเองก็แล้วกัน อย่าให้ข้าได้ลงมือเชียว มิเช่นนั้นไม่ใช่แค่ไล่เจ้าออก แต่จะส่งทางการอีกด้วย” นี่ไม่ใช่คำขู่แต่อย่างใด ฟางหรูพูดจริงทำจริงอย่างที่ปากว่า
“หรูเอ๋อร์ อยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย” จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา แน่นอนว่าหลิวมู่ฉวนเพียงแค่เห็นหน้าชายที่เข้ามาใหม่ก็เกิดความไม่พอใจนัก ศัตรูหัวใจของเขา
“ท่านหมอไป๋ เพิ่งกลับมาจากจวนของข้าหรือเจ้าคะ” นางออกมาก่อนท่านหมอจะไปที่เรือนนั่นเพราะ
ฮูหยินรองบ่นว่าปวดหัว ดังนั้นนางจึงให้พ่อบ้านไปตามท่านหมอไป๋มาตรวจอาการ จะได้รักษาได้ทันเวลา