ข้าช่างเป็นนายที่ไร้ประโยชน์นัก ทั้งที่หนิงลี่ถูกจับแต่ข้าทำได้เพียงนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าคุกวังหลัง เพื่ออ้อนวอนขอให้ฮองเฮาปล่อยตัวนาง
เมื่อครู่ข้าไปหาฮ่องเต้แต่ว่าก็ถูกเมินจึงไม่คิดขอร้องเขาอีกนอกจากกลับมาขอร้องฮองเฮาแม้จะไร้ผลไม่ต่างกันก็ตามแต่ว่าจะให้ข้ากลับตำหนักทั้งที่หนิงลี่ยังอยู่ในนี้ ข้าทำไม่ได้
“ฮองเฮาเสด็จ” เสียงที่ได้ยินทำให้ข้าหันไปมอง
“กระหม่อมคำนับฮองเฮา” ข้าก้มหัวจรดพื้นพลางมองนางที่เบะปากแล้วเชิดหน้า
“ฮองเฮาผู้มีจิตใจเมตตาได้โปรดปล่อยหนิงลี่เถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยอมทำทุกอย่างได้โปรดเถิด ฮึก..ก..”
“หึ ข้าก็ไม่ใช่คนใจดำหรอกนะ ถ้าเจ้าอยากให้ปล่อยก็ย่อมได้”
ข้ายิ้มทันที “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่คิดว่าข้าจะใจดีปล่อยตัวมันไปง่ายๆ รึ เพราะเจ้าต้องทำตามที่ข้าสั่ง”
“กระหม่อมยอมทำตามทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี….วันงานบวงสรวงเจ้าไปอาละวาดซะ”
ข้าเบิกตากว้าง เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนี้ หากข้าทำตามหย่งหมินไม่โกรธข้าแย่หรือ แค่ข้าจะเข้าร่วมงานยังบอกขายหน้าแต่นี่ถึงกับอาละวาดเขาคงเกลียดข้ามากแน่นอน
“ทำไม…หรือเจ้าทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมันก็ต้องตาย”
“กระหม่อมทำได้ กระหม่อมจะทำ”
นางยิ้ม “ดี ข้าจะปล่อยตัวมันหลังเจ้าทำสำเร็จ แต่ว่าแม้ข้าจะปล่อยมัน ข้าก็จะไม่ให้เจ้ากับมันอยู่ด้วยกัน เจ้าจะต้องใช้ชีวิตคนเดียว”
ข้ายิ้มอย่างยินดี ในที่สุดหนิงลี่ก็จะได้หลุดพ้นจากข้าแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
ฮองเฮาทำหน้าไม่เข้าใจนักแต่ก็เดินจากไป ข้าก้มหัวจรดพื้นขอบคุณอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ลุกยืนแต่ก็เกือบทรุดลงไปอีกครั้งแต่ก็พยุงตัวเองให้ยืนได้อย่างมั่นคง สายตามองตำหนักตรงหน้าพลางคิดถึงใบหน้าของคนที่ดูแลข้าอย่างดี
หนิงลี่ข้าจะต้องช่วยเจ้าให้จงได้
……………………….
กลับมาถึงตำหนักข้าก็ปวดขาแทบยืนไม่อยู่ นอนบนเตียงและพลางคิดว่าวันงานบวงสรวงข้าควรจะทำอย่างไรดี หรือควรจะวิ่งเข้าไปแล้วร้องตะโกนเหมือนคนสติไม่ดี เพียงแค่นี้คงสร้างความวุ่นวายได้บ้างแล้ว
ถอนหายใจเมื่อตอนนี้เหลือเพียงข้าคนเดียว ข้ามักบอกให้หนิงลี่ไปรับใช้คนอื่นแต่ว่าตอนนี้กลับเงียบเหงานัก ต่อจากนี้ไปข้ายังไม่รู้เลยว่าข้าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลือตัวคนเดียว หากเป็นที่บ้านการอยู่คนเดียวย่อมไม่ทุกข์ร้อนแต่ว่าอยู่ที่นี่แม้แต่การกินยังต้องพึ่งพาคนอื่นแล้วข้าจะทำอย่างไร
ตุบๆ
เสียงเหมือนบางอย่างกระทบประตูทางเข้าของตำหนัก ข้าลุกยืนอย่างยากลำบากแล้วค่อยๆ เดินลากเท้าและเปิดประตูออก ไม่พบผู้ใดแต่เมื่อก้มมองพบว่าเจอสำรับอาหารวางอยู่
“มีคนนำอาหารมาให้ข้ารึ” ข้ามองอย่างสงสัยและคิดว่าข้าสมควรกินดีหรือไม่ อาจมีคนนำยาพิษมาให้ข้ากินก็ได้ แต่ว่าตอนนี้ข้าก็หิวเช่นกัน
ขมวดคิ้วเมื่อเห็นสมุนไพรวางอยู่ในสำรับอาหาร พอหยิบดูจึงพบว่าเป็นสมุนไพรเกี่ยวกับรักษาโรคความเย็นซึ่งในวังนั้นหายากนัก เพราะข้าเคยคิดนำมาต้มกินแต่ว่าเพราะมีน้อยห้องยาจึงไม่ได้ให้มา
“ใครที่นำมาให้ข้า หรือว่าหนิงลี่ขอร้องฮองเฮา”
ข้าตัดสินใจยกสำรับอาหารเข้าตำหนักและลองตักกินพบว่าไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ทานไปได้เพียงนิดจึงก่อฟืนต้มยา ความรู้สึกเหมือนตอนอยู่ในหมู่บ้านนัก
ข้าใช้มือผิงเตาไฟ เพราะตอนนี้อากาศเริ่มหนาวอีกแล้ว
……………………………………
งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นที่กลางพระราชวัง ปีนี้เป็นปีแรกที่จัดขึ้นเพื่อขอพรให้ฮองเฮาตั้งครรภ์โอรสเพราะปีก่อนขอพรให้บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนที่รู้แม้มีบางส่วนไม่พอใจแต่บางส่วนก็ต่างชื่นชมในความรักของฮ่องเต้ที่มีต่อฮองเฮาและต่างก็เฝ้ารอรัชทายาทให้ถือกำเนิด
ข้าที่ได้ยินข้ารับใช้พูดก็ต้องยืนนิ่ง รู้สึกอิจฉาฮองเฮานักที่ได้รับความรักจากหย่งหมินมากล้นขนาดนี้ แม้จะเศร้าใจแต่ก็ค่อยๆ เดินไปยังลานกว้างที่กำลังรอเวลาทำพิธี แท่นสูงตรงกลางลานนั้นมีไว้สำหรับไหว้เทพสวรรค์ โดยเดินขึ้นจากบันไดหินเพื่อไปยังด้านบนของแท่นและกราบไหว้จนธูปหมดดอก
ตอนที่ข้าได้ฟังหย่งหมินพูดก็เฝ้ารอพิธีนี้แต่ว่าก็ไม่เคยได้เห็นจนกระทั่งวันนี้มาถึง ที่ข้าได้มาเห็นด้วยตาตัวเองและกำลังจะสร้างความวุ่นวาย
“ฮ่องเต้และฮ่องเฮาเสด็จ”
เสียงที่ดังขึ้นบ่งบอกว่าพิธีเริ่มแล้ว ข้ามองกลุ่มคนที่ใส่ชุดสีแดงที่ยืนเรียงกันอยู่ข้างแท่นบูชา ท่าทางคงเป็นคณะทูตที่หย่งหมินเคยพูดถึง ข้าสูดหายใจเพื่อที่จะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งเพื่ออาละวาดดังที่ฮองเฮาสั่ง แต่ขณะที่ข้าจะเดินเข้าไปยังลาน หนึ่งในคณะทูตก็ร้องด้วยความเจ็บปวดทั้งยังกุมที่อกก่อนจะทรุดตัวลงพื้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคน ข้ามองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะถอยเท้าออกห่าง
……………………..
“เป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องหย่งหมินขมวดคิ้วถามหมอหลวงเมื่อตรวจอาการของทูตแคว้นหยิน สีหน้าของหมอหลวงนั้นไม่สู้ดีเท่าใดนัก
“ทูลฝ่าบาทโรคที่ท่านทูตเป็นนั้น เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจซึ่งยาของวังหลวงนั้นยังไม่สามารถรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าไงนะ เจ้าต้องรักษาให้ได้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงแคว้นเรา หากเราทำให้ทูตแคว้นหยินตายแม้เราจะไม่ได้คิดสังหารแต่ทางนั้นต้องสงสัยว่าเราเป็นคนทำแน่นอน ดังนั้นท่านต้องช่วย”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ”
“ไม่ใช่ให้ทำสุดความสามารถแต่ต้องช่วยให้ได้!”
หมอหลวงชราหน้าซีด พลางคิดว่ายาที่วังหลวงมีตอนนี้ไม่สามารถที่จะรักษาและช่วยชีวิตทูตที่ล้มป่วยคนนี้ได้แน่นอนนอกเสียจากคิดค้นยาขึ้นมาใหม่ แต่ว่ากลับฉุกคิดบางอย่างจึงรีบเอ่ยบอก
“ฝ่าบาทกระหม่อมขอทูลเรื่องหนึ่งได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา”
“พระสนมซือซือเมื่อหลายปีก่อนเคยช่วยชีวิตข้ารับใช้คนหนึ่งด้วยยาสมุนไพร กระหม่อมเห็นว่าพระสนมมีความรอบรู้ด้านนี้”
“เจ้าจะพูดอะไร”
“กระหม่อมคิดว่าอยากให้พระสนมช่วยรักษาท่านทูตโดยการคิดค้นยาขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
หย่งหมินนิ่วหน้าไม่อยากให้ซือซือเข้ามายุ่งเกี่ยวสักนิดแต่ว่าตอนนี้หากทูตเป็นอะไรขึ้นมาแคว้นย่อมลำบากจึงจำใจทำตามที่หมอหลวงบอก
“แล้วแต่เจ้าเถอะ”
หมอหลวงยิ้มอย่างยินดี
“ข้าจะส่งคนไปรับมันมาที่นี่” หย่งหมินพูดแล้วรีบสั่งขันทีทันที
…………………………
ข้านั่งอย่างกระวนกระวายใจที่ไม่สามารถทำตามคำสั่งของฮองเฮาสำเร็จเพราะหลังจากทูตคนนั้นล้มลงพิธีก็หยุดชะงักเช่นกัน นางจะต้องทำร้ายหนิงลี่แน่ๆ
“พระสนม….พระสนมซือซือ…กระหม่อมขันทีจ้าวพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงที่ดังนอกประตูทางเข้าตำหนักทำให้ข้าค่อยๆ เดินไปเปิดประตูออก พบกับขันทีผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนติดตามของฮ่องเต้
ข้ามองอย่างสงสัย “ท่านมีอะไรกับข้ารึ”
“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พระสนมไปยังหอหมอหลวงเพื่อรักษาอาการท่านทูตพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าน่ะรึ ข้าไม่ใช่หมอ”
“แต่พระสนมเก่งด้านสมุนไพรฝ่าบาทจึงรับสั่งให้กระหม่อมพาพระสนมไป”
เมื่อเป็นคำสั่งข้าจึงไม่อาจปฏิเสธได้แต่ตอนนี้ขาข้าปวดจนแทบจะฝืนเดินไม่ไหวแล้ว แต่ดูเหมือนขันทีผู้นี้จะรู้ว่าข้าคิดอย่างไรจึงรีบเอ่ยบอก
“ขึ้นเกี้ยวเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ข้ามองเกี้ยวที่ขันทีนำมาจึงพยักหน้าเข้าใจ และค่อยๆ เข้าไปนั่งด้านใน ยามที่ถูกยกรู้สึกผวาจนต้องหาที่ยึดเกาะ ไม่คาดคิดว่าข้านั้นจะได้รับการอนุญาตให้ขึ้นเกรี้ยวได้ เพราะคนที่นั่งมีแต่ฝ่าบาทและฮองเฮาเท่านั้น
ข้าเดินเข้าไปยังด้านในหอหมอหลวงและเมื่อเข้าไปยังห้องหนึ่งก็เห็นหย่งหมินยืนอยู่ ข้างๆ มีหมอหลวงที่กำลังตรวจอาการท่านทูต
ข้าพยายามไม่ให้เสียงสั่นและไม่เสียใจ “กระหม่อมคำนับฝ่าบาท”
“ตามสบายเถอะ”
เขากล่าวเสียงแข็งอย่างไม่เต็มใจ
“ที่ข้าให้เจ้ามาเพราะต้องการให้เจ้าคิดค้นยาสมุนไพรเพื่อรักษาอาการของท่านทูต และช่วยหมอหลวงรักษา” ข้าพยักหน้า
“ท่านหมอหลวงท่านทูตป่วยด้วยโรคใด”
“กระหม่อมคิดว่าเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจผิดปกติเพราะท่านกุมอกด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้กระหม่อมทำเพียงฝังเข็มพยุงอาการเท่านั้น”
“งั้นรึ ถ้าอย่างนั้นข้าพอที่จะคิดค้นยาขึ้นมาได้”
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ข้ายิ้มแล้วพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คิดค้นซะ ส่วนเรื่องการเดินทางข้าจะให้คนนำเกี้ยวไปรับและไปส่งทุกครั้ง เพราะหากให้เจ้าเดินพระอาทิตย์ตกคงยังไม่ถึง”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ข้าก้มหัวขอบคุณแต่ว่าเพราะขาข้าปวดจากการเดินในวันนี้อยู่มากจึงเสียหลักล้มลงแต่ว่าหย่งหมินที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับโอบเอวข้าไว้
ยามที่สายตาเราประสานกันข้ารู้สึกเหมือนวันวานนักแต่ว่าก็เพียงชั่วครู่เมื่อเขาผลักข้าล้มลงอย่างแรง
“อึก”
“เหอะ คิดเสแสร้งให้ข้าช่วยรับรึ!” เขาชี้หน้าว่าข้า
“กระหม่อมเปล่า…”
“หมอหลวงไปนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดมือให้ข้าซะ ข้ากลัวติดโรค!”
“พะ..พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงก็รีบออกไปดังคำสั่ง
ข้าเงยหน้ามองน้ำตาคลอ “ฝะ..ฝ่าบาท…รังเกียจกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่…แต่ขยะแขยง!”
ข้าเม้มปากและค่อยๆ ลุกยืนอย่างเข้าใจ “กระหม่อมเข้าใจแล้ว….กระหม่อมขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะที่น่าขยะแขยง…”
“ไม่ต้องมาประชดข้า! อย่าคิดว่าการที่ข้าให้เจ้ามารักษาอาการแล้วข้าจะมีความรู้สึกดีต่อเจ้า บอกไว้ว่าไม่มีทาง! ข้าเกลียดเจ้าและขยะแขยงเจ้านัก!”
หย่งหมินรีบเดินออกไป ทิ้งให้ข้ายืนนิ่งและน้ำตาไหลเงียบๆ