“ท่านพ่อตาเชิญนั่ง” หย่งหมินผายมือให้แม่ทัพไป๋เฮ่อนั่งลงบนเก้าอี้ในตำหนัก โดยมีฮองเฮาจินซูนั่งอยู่ด้านข้าง ทั้งสามคนได้มาพูดคุยถึงเรื่องการบวงสรวงเทพสวรรค์ในปีนี้ที่แตกต่างจากปีอื่น
“แน่นอนว่าปีนี้ข้าจะบวงสรวงเพื่อขอโอรสให้กับฮองเฮา”
ไป๋เฮ่อพยักหน้าอย่างยินดีที่ฮ่องเต้ยอมจัดงานบวงสรวงปีนี้เพื่อขอโอรส ไม่รู้ว่าโชคชะตาหรือผลกรรมจึงทำให้บุตรีของตนไม่แม้แต่จะตั้งครรภ์ ทั้งที่เป็นฮองเฮามา6ปีแล้วแต่กลับไม่สามารถมีโอรสหรือธิดาได้เลยสักคน คนเป็นพ่ออย่างไป๋เฮ่อรู้สึกร้อนใจนัก
เพราะปีนี้ไป๋เฮ่อก็เกษียณจากการเป็นแม่ทัพแล้ว หากบุตรียังไม่สามารถมีโอรสได้อำนาจก็จะต้องเริ่มสั่นคลอน แม้ว่าฮ่องเต้จะรักฮองเฮามากนักแต่ว่าความรักก็เสื่อมคลายได้ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาผู้สืบอำนาจต่อ
“กระหม่อมดีใจนักและหวังว่าฝ่าบาทจะได้โอรสโดยเร็ว”
“ถ้าเป็นดังที่ท่านพ่อบอก ข้าก็ดีใจนัก”
หย่งหมินพยักหน้าอย่างยินดี “ฮองเฮาวันงานเจ้าต้องยืนนาน ข้าเป็นห่วงเจ้านัก”
นางยิ้ม “ขอบพระทัยเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันทนได้เพื่อลูกของเรา”
หย่งหมินมองนางด้วยสายตาที่เป็นห่วงและรักใคร่ ทำให้ไป๋เฮ่อลอบมองพลางยิ้มที่เห็นบุตรสาวถูกรักมากขนาดนี้
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะเกษียณอายุปีนี้แล้ว จึงอยากเสนอความเห็นต่อฝ่าบาทได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ย่อมได้แน่นอน ท่านพ่อตาเชิญพูด”
“กระหม่อมคิดว่าผู้ที่จะเป็นแม่ทัพคนต่อไปสมควรเป็นหยางเฉิง เขานั้นมีผลงานที่มากมาย และยังเป็นคนหนุ่มสมควรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพสูงสุดต่อจากกระหม่อม” เขาพูดพลางมองใบหน้าอีกฝ่ายว่ามีท่าทีอย่างไร พอเห็นว่าหย่งหมินพยักหน้าตามก็เริ่มยิ้มย่องในใจว่าต้องโน้มน้าวได้สำเร็จ
“ฝ่าบาทคิดเห็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หยางเฉิงรึ เขานั้นนับว่ามีผลงานมากมายจริงๆ ข้าเห็นชอบกับท่าน”
“กระหม่อมยินดีเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะที่ฝ่าบาทเห็นชอบ” ไป๋เฮ่อยิ้มอย่างยินดีที่ในที่สุดก็สามารถต่อแขนให้สามารถกุมวังหลวงได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดชักใยยืมมือของหยางเฉิงเพื่อกุมอำนาจต่อไป
ที่มาของอำนาจนั้นย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ก่อนที่ฮ่องเต้หย่งหมินจะขึ้นครองราชย์ ในตอนนั้นชินอ๋องที่เคยก่อกบฎเมื่อหลายเดือนก่อนได้เป็นรัชทายาทแต่ว่ากลับถูกแม่ทัพไป๋เฮ่อยกทัพคุมวังหลวงและยกให้หย่งหมินซึ่งเป็นน้องชายขึ้นครองราชย์แทน ด้วยเหตุผลที่ว่าชินอ๋องนั้นอ่อนแอ
อำนาจของไป๋เฮ่อนั้นมากถึงขนาดตอนที่หย่งหมินหายไปในสงครามได้ขึ้นว่าราชการแทนแม้จะมีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่มีใครปริปากค้าน
“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอทูลลา ไม่รบกวนฝ่าบาทและฮองเฮาแล้ว” เขาคำนับและออกจากห้องไป ทำให้เหลือทั้งสองที่นั่งอยู่ใกล้เคียงกัน
“ฝ่าบาทหม่อมฉันคิดว่าก่อนงานพิธีจะไปไหว้พระบนภูเขาก่อนเพคะ”
หย่งหมินนิ่วหน้า “เจ้าจะไปทำไมกัน นอกวังหลวงนั้นอันตราย หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาข้าคงโทษฟ้าดินเป็นแน่”
นางยิ้มทันทีในความเป็นห่วง หากย้อนไปเมื่อ 6 ปีก่อน หย่งหมินนั้นหมางเมินนางนัก แม้ในวันอภิเษกยังเกือบที่จะไม่ร่วมรักกับนาง
ตอนที่ฮ่องเต้หายไปในสงครามนางเอาแต่สวดมนต์ภาวนาไม่ยอมแม้แต่จะดื่มน้ำจนล้มป่วย แต่เมื่อรับรู้ว่าฮ่องเต้กลับมาก็รีบพาร่างกายที่อ่อนแอไปรับแต่ว่า..กลับพบเห็นคนผู้หนึ่งที่มาด้วย
ตอนแรกนางไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นชายแต่เมื่อมีการแต่งตั้งให้คนผู้นั้นเป็นสนมและมอบตำหนักใหญ่โตให้ ทั้งฮ่องเต้ก็รักมาก รักมากขนาดที่ว่านางอิจฉาจนล้มป่วย
แต่ว่านางก็ทำได้เพียงตรอมใจจนเกือบสิ้นชีวิตและเวลานั้นฮ่องเต้ถึงกับหลั่งน้ำตาและบอกว่านางคือคนที่ฮ่องเต้รักมากที่สุด เพราะฉะนั้นหากรอดชีวิตจะรักนางเพียงคนเดียวและจะลืมเลือนผู้อื่นเสียให้หมด
นางไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำนี้จากฮ่องเต้ที่หมางเมินนางร่วมปี แม้แต่ซือซือที่รักมากฮ่องเต้ก็ยังตัดขาดอย่างไร้เยื่อใยทันที ตอนแรกนางคิดว่าฮ่องเต้เพียงคิดล้อเล่นแต่เมื่อนางหายป่วยก็ทำดังที่พูดจริงๆ หลงลืมคนที่รักมากอย่างง่ายดายคล้ายกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
นางไม่คิดว่าฮ่องเต้จะทำได้แต่ว่าเมื่อลองนึกดู อีกฝ่ายหน้าตาจืดชืดทั้งยังเป็นชายย่อมเบื่อง่ายเป็นธรรมดา และวังหลวงมีสนมและผู้คนมากมายไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะลืมเลือนคนผู้หนึ่งไป ในอดีตเคยกล่าวว่าจากกันเพียงหนึ่งวันก็เหมือนคนอื่นแม้แต่หน้าตาก็จำไม่ได้หากไม่สำคัญ
แม้แต่นางเองหากไม่มีเรื่องของซือซือที่ฝังลึกจนเจ็บปวด นางก็จำไม่ได้แม้แต่หน้าตาด้วยซ้ำ และหย่งหมินก็ไม่เคยพบซือซือเลยตลอด5ปีที่ผ่านมา ดังนั้นหากจะจำมันไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เพราะซือซือไม่สำคัญ
“หม่อมฉันรู้สึกเศร้าใจนักที่เวลาผ่านมา6ปีแล้ว หม่อมฉันยังไม่อาจมีโอรสให้กับพระองค์ได้เลย ฮึก..ก..หม่อมฉันสมควรตายเพคะ”
“ฮองเฮา” เขาจับมือนางทันที “เจ้าอย่าได้พูดเช่นนี้ ข้าไม่โทษเจ้าและเจ้าห้ามพูดเรื่องตายอีกเด็ดขาด”
“ฝ่าบาท ฮึก…”
“ฮองเฮาหนทางชีวิตของเรายังอีกยาวไกล อีกอย่างเจ้ายังสาวนักอย่าได้กังวลเลย”
“แล้วหากหม่อมฉันไม่สามารถให้โอรสฝ่าบาทได้..ฮึก..ฝ่าบาทจะถอดหม่อมฉันจากการเป็นฮองเฮาไหมเพคะ”
“เหลวไหลข้าจะถอดเจ้าทำไมกัน หากเจ้าให้โอรสข้าไม่ได้ยังมีสนม..”
“ไม่เพคะ! หม่อมฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนให้โอรสแก่ฝ่าบาท…” นางรีบหยุดคำเมื่อคิดว่านางเผลอพูดเรื่องร้ายกาจแล้ว หย่งหมินนิ่งงันแต่ก็ยิ้ม
“เจ้าช่างหึงหวงได้น่ารักนัก”
พอนางได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ก็ต้องลอบถอนหายใจที่ฮ่องเต้ไม่ได้คิดว่านางเป็นหญิงร้ายกาจที่พูดเรื่องเมื่อครู่
แต่ว่าเรื่องที่นางพูดนั้น นางพูดจริงที่จะไม่ยอมให้สนมคนไหนให้โอรสแก่ฝ่าบาท แน่นอนว่าสนมเอกหลายนางล้วนตั้งครรภ์แต่นางก็จะให้หมอหลวงแอบเปลี่ยนยาให้พวกนางกินจนสุดท้ายก็เสียลูกในครรภ์ไป ดังนั้นสนมเอกนับสิบ และสนมชั้นล่างที่ถูกเรียกขึ้นเตียงบางนาง ไม่มีผู้ใดมีลูกให้ฮ่อวงเต้ได้เชยชมสักคน และพวกนางล้วนหวาดกลัวฮองเฮายิ่งนัก
“จริงสิ เรื่องสนมชายที่เจ้าเคยบอก”
“ทำไมเพคะ” นางขมวดคิ้วทันทีเมื่อคิดว่าฮ่องเต้เริ่มติดใจมัน
“ข้าคิดว่าไล่มันออกจากวังไม่ดีกว่ารึ” พอนางได้ยินก็ต้องคลายความกังวลและยกยิ้ม แต่ว่าแม้นางจะอยากให้ซือซือออกจากวังไปใจแทบขาดแต่ว่านางก็อยากให้อีกฝ่ายทรมานเจ็บปวดจนกว่านางจะพอใจที่มันผู้นั้นเคยแย่งความรักต่อฝ่าบาทไป
ห้าปีมานี้หากเป็นคนอื่นอาจคิดว่ามากเกินพอแล้วที่ทรมานอีกฝ่ายแต่ว่าสำหรับนางยิ่งได้ทรมานมันยิ่งสะใจจนไม่อาจจะหยุดยั้งได้
“อย่าเลยเพคะ ซือซือนั้นน่าสงสาร เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาหากกลับไปจะใช้ชีวิตอย่างไรเพคะ เงินทองนั้นไม่มี ขาก็เดินแทบไม่ได้ น่าสงสารนัก”
“เจ้าช่างจิตใจดีนัก แต่ว่าข้าขยะแขยงมัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าเคยรักมันและรับมาเป็นสนม หากแคว้นอื่นรับรู้ข้าคงขายขี้หน้าแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทก็เก็บซือซือไว้อย่างมิดชิด เหมือนกับของที่ไม่มีค่าไม่ควรหยิบมาใช้ ปล่อยให้หยากไย่ขึ้นดีไหมเพคะ อย่างน้อยก็ดีกว่าทำให้ของนั้นผุพังอย่างน่าสงสาร”
หย่งหมินพยักหน้าพลางถอนหายใจอย่างไม่เห็นด้วยนัก เขาอยากให้ซือซือออกไปจากวังหลวงนี้
“ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้นข้าก็ไม่ขัด….”
“ขอบพระทัยเพคะ”
นางลอบยิ้มอย่างยินดี