หญิงสาวกระชับแขนของเขาจนแน่น เพื่อให้เขาเล่นไปตามน้ำ ทั้งที่เธอเองก็ยังไม่ได้จะตกลงปลงใจกับเขา ว่าจะต้องแต่งงานและอยู่กันแบบครอบครัว หลังจากที่ธิดาเรียนจบ
“ฉันไม่ให้แต่ง ต่อให้เธอใส่ชุดนักศึกษาแล้วท้องกับลูกชายของฉัน ฉันก็ไม่รับเด็กคนนี้ว่าเป็นหลาน” พิมพ์ภาชี้นิ้วไปที่หน้าของธิดา ที่กำลังมองตอบด้วยสายตาแข็งกร้าว “และฉันก็ไม่มีวันให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาแต่งกับลูกฉัน”
“ก็ดีค่ะ ธิดาจะได้รู้ว่าย่าไม่รักหลานที่อยู่ในท้อง” เธอนำฝ่ามือลูบไปที่หน้าท้องเบา ๆ ทำให้คนทั้งสามเบิกตากว้าง นันยศเองก็ด้วยเช่นกัน
“ทะ ท้องเหรอ” เขาถามอย่างไม่อยากเชื่อหู
“ใช่!” เธอเน้นย้ำอีกครั้ง “เดือนกว่าแล้วค่ะ ธิดายังไม่มีโอกาสได้บอกกับพี่อุ่น” ธิดาจ้องมองไปที่ใบหน้าของนันยศ เขาเอื้อมมือมาลูบ หน้าท้องของเธอ รอยยิ้มผุดขึ้น เพราะเขาไม่คิดไม่ฝันว่าตนเองกำลังจะเป็นพ่อคน
“กรี๊ด ๆ” ขวัญเนตร ได้ยินแบบนั้น ถึงกับกระทืบเท้าปึงปัง แผดเสียงดังลั่นจนแสบแก้วหู “เราจะแต่งงานกันเดือนหน้า แน่ใจเหรอว่าเด็กในท้องเป็นลูกของอุ่น” หล่อนจับเข้าไปที่แขนของเขา กระชากตัวนันยศให้ออกห่าง
“ฉันเองก็ไม่เชื่อ เด็กใจแตกอย่างเธอไปเอากับใครต่อใครแล้วมาโกหกว่าเป็นลูกของฉันที่ทำเด็กใจแตกของเธอท้อง” พิมพ์ภาเอานิ้วจิ้มไปที่ใบหน้าของธิดา จนหญิงสาวได้แต่กัดฟันกรอด “น้ำหน้าอย่างเธอ ก็เป็นได้แค่คู่นอนของตาอุ่น” เมื่อกล่าวจบ ก็เอี้ยวตัวหันหลังกลับ “กลับบ้าน” หล่อนส่งเสียงเขียว แววตาบ่งบอกว่าโกรธบุตรชายของตนเป็นอย่างมาก
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” สิ้นเสียง เธอก็ก้มลงเก็บแบงก์เทาที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นจนครบทุกใบ ท่ามกลางสายตาของคนทั้งสาม “ช่วยเอาเงินสกปรก ๆ ของคุณกลับไปด้วยค่ะ” เธอนำมันยัดเข้าไปในมือของนันยศที่รับมาอย่างไม่เต็มใจ “หวังว่าคุณจะดูแลแม่และเมียของคุณให้ดี อย่าให้เขาเข้ามาระรานที่บ้านของฉันอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” น้ำเสียง หน้า แววตา มันถ่ายทอดทุกความรู้สึกออกมา จนเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“กลับบ้าน” เป็นอีกครั้งที่พิมพ์ภาเรียกสติบุตรชายของตน หลังจากที่รับเงินจากธิดาแล้ว “ฉันก็ไม่อยากจะมาเหยียบบ้านโทรม ๆเหม็นกลิ่นคนจน หากไม่ติดว่าจะต้องมาตามลูกถึงที่นี่ ฉันก็ไม่อยากเอาเท้ามาเหยียบให้เป็นเสนียดหรอก” ก่อนที่หล่อนจะกลับ ก็ยังใช้คำพูดที่ดูถูกหญิงสาวอีกครั้ง
“ค่ะคุณนาย หากวันข้างหน้าลูกคุณนายหายไป อย่าได้มาตามหาที่นี่อีกนะคะ เพราะที่บ้านหลังนี้ไม่ต้อนรับผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน” เธอกอดอก “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เชิญค่ะ! ออกไปแล้วรบกวนคุณนันยศปิดประตูให้ด้วยนะคะ เดี๋ยวกลิ่นคนจนติดตัวคุณนายไปจะแย่เอาค่ะ” สิ้นเสียง หญิงสาวก็สาวเท้าเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง ไม่อยากเจอหน้าคนแบบนี้อีก
“ดูมัน ๆ ฉันยืนหัวงอกหัวขาว ยังก้าวร้าวได้ขนาดนี้” พิมพ์ภาค้อนสายตาไปยังประตูบานดังกล่าวที่ธิดาเพิ่งปิดมันลง “กลับกันได้แล้ว เรามีเรื่องต้องเคลียร์กับแม่” หล่อนกระตุกแขนเสื้อบุตรชายตัวดีของตน โดยที่ข้าง ๆ เขามีขวัญเนตรไม่ห่างกาย
เสียงประตูหน้าบ้านปิดลง ตามที่หญิงสาวร้องขอ
ยังดีที่ดุจดาวไม่ได้เข้ามาบ้านในเวลานี้ ไม่อย่างนั้นคงเปิดศึกไม่น้อยไปกว่าเธอ
ดุจดาวเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยด้วยอาชีพแม่ค้า เพราะบิดาของเธอ เป็นพวกไม่เอาอ่าว กินแต่เหล้า เมาแต่เบียร์ และการพนัน แต่ไม่มีเรื่องทุบตี
ช่วงที่ธิดาอายุแค่หนึ่งขวบ หล่อนตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า มีเงินติดตัวอยู่ไม่กี่พันบาท เก็บข้าวเก็บของเท่าที่จำเป็น ย้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ซึ่งตอนนั้นหล่อนอาศัยนอนวัด เงินที่มีก็ไปหาทำเลขายของ จนหล่อนไปเจอบ้านที่ถูกใจ ซึ่งสามารถขายของได้แถมราคาก็ไม่ได้แพง
ดุจดาวจึงย้ายจากวัดไปอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ ซึ่งคนเช่าคนเก่าก็ทำมาค้าขาย ยังคงมีอุปกรณ์หลงเหลือให้หล่อนใช้อยู่บ้าง ทำให้ดุจดาวแทบไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์มากมาย ซื้อแค่วัตถุดิบเข้ามาเท่านั้น
หล่อนเปิดเป็นร้านอาหารตามสั่ง ดุจดาวลงมือทำเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแม่ครัวทำอาหาร เสิร์ฟอาหาร ทั้งล้างจาน เก็บโต๊ะ หล่อนทำหมด ดุจดาวมีแค่ธิดาเท่านั้น จึงต้องมีชีวิตสู้ถึงทุกวันนี้
เมื่อเวลาผ่านไปจนธิดาเข้ามัธยม หล่อนจึงมีเงินซื้อบ้านหลังดังกล่าว เป็นบ้านมือสองเช่นกัน ณ ตอนนี้ ดุจดาวมีบ้านเป็นของตนเอง และร้านอาหารตามสั่ง ที่ยังคงจ่ายค่าเช่าตามปกติ
ร่างบางทรุดลงกับพื้น หยาดน้ำตาค่อยไหลรินอาบแก้มอีกครั้ง พร้อมกับเสียงร้องดังก้องไปรอบห้อง
ตอนนี้เธอไม่อยากจะทำอะไรแล้ว ไม่อยากเจอหน้าใคร ไม่อยากออกไปไหน แม้กระทั่งดุจดาวก็ตาม
เธอจะมีหน้าไปบอกกับมารดาได้อย่างไร ว่าชายคนรักกำลังจะแต่งงาน ไหนจะมารดาของเขาเอาเงินมาฟาดหัวถึงที่ และเธอก็รู้ดีว่าแม่ของตนเป็นยังไง