บทที่ 10
ต่างคนต่างมีชีวิตใหม่
เกวลินตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้มานอนบนเตียง ดวงหน้างามผ่องใสมีน้ำมีนวลเอียงไปมองลูกในจอคอมพิวเตอร์ น้ำใสในตาไหลอาบปรายหางตา เมื่อคุณหมอบอกว่าตรงนี้ตรงนั้นเป็นสัดส่วนของลูก
“ตรงนี้เป็นอวัยเพศของน้องนะครับ” คุณหมอเข้าใจว่าไซนัสเป็นพ่อของเด็กในท้องจึงบอกชายหนุ่ม แล้วเหลือบตามองเกวลิน
“เด็กผู้ชายเหรอครับคุณหมอ” ไซนัสเกือบเก็บอาการกรี๊ดกร๊าดทำเหมือนผู้หญิงไม่อยู่เวลาตื่นเต้นดีใจ
“ผู้ชายครับ เห็นตรงนี้ไหมครับ นี่เป็นหัวใจของเด็กนะ” คุณหมอชี้ให้ชายหนุ่มที่เขาคิดว่าเป็นพ่อของเด็กดูสัดส่วนของเด็กอายุครรภ์ห้าเดือน
“ผู้ชาย นี่ผมได้ลูกชายเหรอครับ” ไซนัสนั่งข้างเตียง มือเขายังจับมือของเกวลินไว้ตลอดเวลา ซึ่งชายหนุ่มคอยให้กำลังและทะนุถนอมหญิงสาวยิ่งกว่าไข่ในหิน
ด้านเกวลินเมื่อคุณหมอบอกว่าลูกในท้องมีร่างกายสมบูรณ์ เธอก็ได้ครางเสียงเบาในใจว่า “ลูกแม่ แม่รักหนูนะรู้ไหม..”
“ค่อยๆลุกนะคุณเกว” เมื่อคุณหมอหยุดเช็กร่างกาย เกวลินก็ลุกขึ้นนั่ง ซึ่งไซนัสช่วยจับขาสองข้างของเธอให้หย่อนลง พร้อมทั้งยื่นแขนให้เธอเกาะลงจากเตียง พาไปนั่งที่เก้าอี้
“คุณหมอคะ” เกวลินเรียกคุณหมออย่างเกรงใจ พลางลูบลูกในท้องยามแกดิ้นเตะสัมผัสมือของเธอ
“ครับ” คุณหมอวางปากกาลงบนโต๊ะทำงาน แล้วเงยหน้ามองหญิงสาว
“ฉันอยากหยุดกินยาค่ะจะได้ไหมคะ” เกวลินไม่อยากกินยารักษาโรคที่เธอเป็นอยู่
“ทนกินหน่อยนะคุณเกว” ด้านไซนัสพูดแทนคุณหมอ
“ฉันกลัวลูกเป็นอันตรายนี่คะ” เกวลินพูดกับไซนัส
“ผมว่าหมอเขาเก่งอยู่แล้ว คงไม่ให้ยาคุณกินสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกครับ นี่เป็นวันนัดหมอตรวจ และใบรับยานะครับ” คุณหมอตำหนิเกวลิน ที่เธอรู้มากกว่าหมอ
“ฉันขอโทษค่ะ” เกวลินหน้าซีดเมื่อคุณหมอดุ
ด้านไซนัสเป็นคนรับใบเสร็จ และยกมือขอโทษคุณหมอแทนเกวลินอีกครั้งว่า “ผมต้องขอโทษแทนภรรยาผมด้วยนะครับ คือว่าเธอกังวลมากกับยาที่ต้องกินทุกวันนะครับ..”
“ถ้าภรรยาคุณดูแลตัวเองและทำตามที่หมอแนะนำ ยาที่กินก็ไม่มีอันตรายกับเด็กในท้องหรอกครับ” คุณหมอเดินนำหน้าไปเปิดประตู
“ครับ ขอบคุณครับ” ไซนัสขอบคุณหมอ แล้วเขาก็จับมือหญิงสาวพาเธอเดินออกจากห้องตรวจตรงไปหาโทนี่ ซึ่งเมื่อโทนี่เห็น เขาก็รีบลุกออกจากเก้าอี้เดินมาถามว่า
“หมอว่าไงมั่ง..”
ซึ่งเป็นไซนัสเองที่ตื่นเต้นดีใจ เขาเดินเข้าไปเกาะแขนของแฟนหนุ่ม ทำท่าทางเหมือนผู้หญิงจีบปากจีบคอพูดกับโทนี่ว่า
“คุณ เราได้ลูกชาย..”
“จริงเหรอ” โทนี่ไม่อยากเชื่อคำพูดของไซนัสสักเท่าไร ชายหนุ่มจึงหันไปมองท้องนูนของเกวลิน ซึ่งเกวลินก็ยิ้มให้โทนี่แล้วพูดว่า
“จริงค่ะ..”
“ผมอยากให้คุณได้เห็น และได้ยินเสียงหัวใจของเด็กเต้นมากเลย” ไซนัสบอกโทนี่
“ครั้งหน้าผมขอเข้าไปด้วยนะ” โทนี่ถามไซนัส แต่สายตาวิงวอนกลับมองหน้าเกวลิน
“ฉะ ฉัน” เกวลินพูดติดอ่างเมื่อเจอคำขอแบบนี้
“คุณจะบ้าเหรอ แค่ผมเข้าไปคุณเกวก็อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหนแล้ว ขืนคุณเข้าไปอีกมีหวังคุณเกวต้องหาปี้บมาคุมหัวเข้าห้องตรวจแน่นอน” ไซนัสทำเสียงหวีดว้าดเหมือนผู้หญิงดุแฟนหนุ่ม
“ผมก็อยากดูนี่ครับ” โทนี่อ้อนแฟนหนุ่ม
“ไว้รอดูเด็กออกจากท้องของคุณเกวดีกว่า” ไซนัสทุบแขนของโทนี่แก้เขินอาย ที่แฟนหนุ่มชอบอ้อนเขาโดยการหอมแก้ม
“ก็ได้ครับ” เป็นเพราะรักไซนัสมาก โทนี่จึงตามใจไม่ขัดและยังทำตามคำขอของแฟนหนุ่มทุกครั้ง
ด้านเกวลิน เธอเหมือนส่วนเกิน และไม่อยากฟังชายสองคนคุยกันเรื่องลูกของเธอ เธอจึงพูดขึ้นว่า “คุณสองคนคุยกันไปก่อนนะคะ..”
เสียงบอกของเกวลิน ทำให้ไซนัสและโทนี่หยุดคุยกัน ซึ่งเป็นไซนัสเองที่ถามหญิงสาวว่า “คุณเกวจะไปไหนเหรอครับ..”
“ไปเอายาค่ะ” เกวลินบอกไซนัส
“ไม่ต้องเลยครับ ยานะเดี๋ยวให้โทนี่ไปเอาละกัน” ไซนัสขอใบเสร็จจาก เกวลิน แล้วยื่นใบเสร็จให้โทนี่ ซึ่งโทนี่ทำท่าอ้อยอิ่ง
“ค่ะ” เกวลินบางทีก็มีความสุขที่มีชายหนุ่มสองคนเอาอกเอาใจ
แต่บางครั้งเธอก็ดูเหมือนว่าตัวเองเป็นแม่พันธุ์ ถูกชายสองคนนี้ซื้อชีวิต ซึ่งจะกินจะนอนหรือจะเดินก็มีชายสองคนนี้ประคับประคอง หรือแม้แต่เสื้อผ้าชุดที่เธอใส่ก็ไซนัสเป็นคนหาซื้อมาให้เธอใส่
“ไปครับ เราไปนั่งรอโทนี่ที่โน้นกัน” ไซนัสดันให้โทนี่เดินไปรับยาที่เค้าน์เตอร์แล้ว เขาก็หันมาจับมือของเกวลินพาเดินไปนั่งที่ม้านั่ง…
ที่ประเทศญี่ปุ่น ณ เมืองโตเกียว..
ตึกสูงเสียดฟ้าชั้นรูปทรงสี่เหลี่ยมปลูกสร้างอย่างทันสมัย ด้านล่างหลายสิบกว่าชั้นทำเป็นที่ทำงาน ซึ่งเจ้าของตึกได้แบ่งชั้นบนสุดทำเป็นห้องทำงานขนาดใหญ่ผสมห้องพักให้ลูกเขยกับลูกสาวสุดดวงใจได้พักอาศัย
ในห้องทำงานโอ่อ่าสุดหรู ทุกด้านผนังห้องพักทำด้วยกระจกมืดกรองแสง ซึ่งมีชายหนุ่มร่างกำยำยืนหันหน้าเข้าหาหน้าต่างบานใหญ่ ดวงตาสีเข้มทอดมองความรุ่งเรืองของเมืองหลวงผ่านกระจกบานใหญ่ ผู้คนมากมายนับหมื่นต่างพากันเดินสวนกันไปบนท้องถนนจราจรติดขัด
‘คนเยอะรถติดกันเป็นขบวนรถไฟ ควันนี่โขมงเชียว ยังกะประเทศไทยไม่มีผิด’ เจ้าของตัวสูงยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงเปรียบเปรยบ้านเมืองของตัวเอง
“ชินท์ค่ะ” เจสสิก้าเรียก และเดินเข้าไปกอดสามีจากทางด้านหลัง
“คุณเจส” เตชินท์ถาม พลางกอดและอุ้มเธอจนเท้าลอยให้มายืนหันหลังให้บานกระจกเผชิญหน้ากัน
“เป็นอะไรคะ” เจสสิก้าหันหลังไปมองความวุ่นวายข้างนอกผ่านกระจกหน้าต่าง แล้วหันมาจ้องหน้าสามี พร้อมยกแขนโอบกอดรอบคอหนาไว้ เขย่งปลายเท้าขึ้น เพื่อให้ดวงหน้าของเธอได้อยู่ในระดับเดียวกันกับใบหน้าหล่อของสามี
“..” เตชินท์ไม่พูด แต่เขาจูบหน้าผากของเธอ
สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดของชายหนุ่ม ทำให้เจสสิก้าถามสามีว่า
“กังวลเรื่องโปรเจกต์งานเหรอคะ..”
“เล็กน้อยครับ” เตชินท์บอก พร้อมทั้งยกแขนกอดคอระหง เขาพาเดินไปที่โต๊ะทำงาน ซึ่งเขาให้เธอนั่งบนเก้าอี้ ส่วนตัวเขาก็นั่งตรงขอบโต๊ะทำงาน
“อย่ากังวลเลยค่ะ ฉันมั่นใจว่า คนในที่ประชุมต้องเลือกโปรเจกต์ของคุณแน่ค่ะ” เจสสิก้านั่งหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานของสามี ซึ่งเธอก็มีสีหน้ากังวลเล็กน้อย เมื่อได้เห็นรายชื่อผู้ที่จะเข้ามาเป็นประธานคนใหม่ของบริษัท
“ยาคุชิ ทำไมคุณต้องกลับมาด้วยนะ” เจสสิก้าพูดเสียงแผ่วเบาหวิว
เสียงพูดคนเดียวของภรรยาถึงจะไม่ดังและชัดเจน แต่แตชินท์ก็ได้ยินจึงถามเธอว่า “เมื่อกี้นี้คุณเรียกชื่อใครนะ..”
“ไม่นี่ค่ะ” เจสสิก้าสะดุ้งตื่นตกใจ เมื่อสามีถาม ซึ่งเขายังมองหน้าเธออย่างจับผิดอีกด้วย
“ยาคุชิ ใช่ลูกชายของท่านประธานเซนทาไหมครับ” เตชินท์ถามภรรยา
“ใช่ค่ะ” เจสสิก้ายอมบอกความจริงกับสามี แล้วรีบพูดให้กำลังใจชายหนุ่มเมื่อเห็นเตชินท์ขรึม “แต่คุณไม่ต้องกลัวนะคะ คณะกรรมการดูผลงานงานค่ะ ไม่ได้ดูว่าคนยื่นผลงานจะเป็นลูกของประธานคนไหน..”
“ผมก็หวังอย่างนั้นครับ เพราะผมทำงานด้วยมันสมองของผม ไม่ได้ใช้บารมีของใคร” เตชินท์ต้องการมีอำนาจและใช้บริษัทของเจสสิก้าเป็นบันไดเดินขึ้นไปรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น
“ฉันกับคุณพ่อรู้ค่ะ” เจสสิก้าบอกสามีให้มั่นใจตัวเอง แล้วพูดกับเขาว่า
“นี่คุณพร้อมหรือยังคะ..”
“ครับ” เตชินท์ตอบ
“จะให้ฉันช่วยดูงานก่อนเข้าประชุมไหมคะ” เจสสิก้าถาม
“ไม่ต้องครับ ผมเช็กเรียบร้อยแล้วครับ” เตชินท์บอกพร้อมทั้งเตรียมพร้อมทุกอย่าง ซึ่งเขาลุกขึ้นยืนยื่นมือให้ภรรยาจับแล้วฉุดเบาๆให้เธอลุกขึ้นยืน
“งั้นก็ไปกันเถอะค่ะ” เจสสิก้าบอกสามี และก่อนที่จะเดินนำหน้าสามีไปยังห้องประชุมนั้น เธอเป็นคนสวมสูทผูกเนกไทให้ชายหนุ่ม…
ในห้องประชุม..
เป็นไปตามความคาดหมาย โปรเจกต์งานของเตชินท์ที่ยื่นเสนอให้คณะกรรมการประธานทุกคนได้ดูนั้นเป็นที่ยอมรับ และทุกคนลงความเห็นจะแต่งตั้งให้เตชินท์เป็นประธานคนที่สี่ของบริษัท
“ผมยินดีด้วยนะคุณเตชินท์” เซนทาประธานคนที่สองต่อจากโอชิเขามาแสดงความยินดีกับชายหนุ่ม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเซนทาอยากจะให้ลูกชายของเขาได้ครองตำแหน่งนี้มากกว่า
“ผมยังต้องให้คุณเซนทาช่วยอีกมากมาย ยังไงก็แนะนำผมด้วยนะครับ” เตชินท์ตอบพร้อมทั้งยื่นมือให้เซนทาจับเพื่อแสดงความยินดี
“เก่งมากนะคุณเตชินท์” ประธานคนที่สามนามว่า ‘คาชิบะ’ เดินเข้ามาหา พลางยกมือขึ้นตบบ่าของเตชินท์
เสียงของชายชรารุ่นเดียวกับโอชิ ทักทายทำให้เตชินท์หันไปมอง เขาจึงก้มหัวให้แล้วยื่นมือให้เขาจับ พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณมากครับ..”
“นี่ถ้าคุณโอชิรู้คงจะภูมิใจในตัวคุณแน่เลย” คาชิบะบอกเตชินท์
“เอ่อนี่ หนูเจสไปไหนแล้วล่ะ” เซนทาเมื่อทักทายคาชิบะแล้ว เขาก็ถามหาเจสสิก้า
“..” ด้านเตชินท์ไม่ตอบ เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าภรรยาของเขาไปไหน
“นั่นสิ” หุ้นส่วนอีกคนก็ถามหาเจสสิก้าเหมือนกัน
“คุณเซนทา แล้วยาคุชิล่ะไปไหน” ด้านคาชิบะหันไปคุยกับเซนทา
“คงอยู่แถวนี้แหละครับ” เซนทาบอก พลางเหลือบตามองเตชินท์ ซึ่งชายหนุ่มก็เอาแต่มองหาเจสสิก้า ‘คงเห็นหรอก’ เซนทายิ้มมุมปากพูดคนเดียวในใจอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง…
เมื่อเสียงประตูลิฟต์เปิดดัง แกร๊ก! หญิงสาวยืนตื่นเต้นดีใจอยู่ข้างในลิฟต์ ซึ่งเธอรีบร้อนจนไม่ทันได้ระวังว่ามีใครยืนดักอยู่หน้าลิฟต์ จึงเดินชนอย่างจัง
“อุ๊ย! ขะ ขอโทษค่ะ..”
ชายหนุ่มจงใจยืนให้หญิงสาวมาชน จนเธอจะล้มก้นกระแทกพื้น ซึ่งเขาก็รีบคว้าข้อมือน้อยฉุดให้เธอเข้ามาประชิดหน้าอกแกร่ง พลางพูดเสียงทุ้มชิดหัวของเธอว่า “สวัสดีครับ..”
เสียงเอ่ยทักทายคุ้นเคยพร้อมวงแขนกำยำโอบกอดเธออย่างถือสิทธิ์ในตัวเธอมาก ทำให้หญิงสาวพยายามเอียงหน้ามองเขา และเธอตกใจมากเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มอย่างชัดเจน “ยาคุชิ!..”
“ครับผมเอง” ยาคุชิยังยืนกอดเธอไว้แน่น และยิ้มเมื่อได้สบตาคู่งาม
“ปล่อย!”ท่าทีกวนโอ้ยของยาคุชิ ทำให้เจสสิก้าขัดขืน ผลักดันตัวเองให้ออกจากอ้อมแขนแข็งแรง และเมื่อเธอได้อิสระเธอก็เดินถอยหลังหนี
“ไม่ได้เจอกันนาน คุณยังเหมือนเดิมนะ กลิ่นหอมเหมือนเดิม”ยาคุชิดม กลิ่นของหญิงสาวจากฝ่ามือของตัวเอง พลางเดินยิ้มเจ้าเล่ห์ต้อนเธอให้จนมุม
“ถอยออกไป” เจสสิก้าเมื่อแผ่นหลังชนผนังห้อง เธอก็ตะคอกเสียงดังใส่ยาคุชิ ซึ่งเขาเดินเข้ามาใกล้เธอจนจะเป็นเนื้อเดียวกัน
“คุณยังใช้น้ำหอมกลิ่นที่ผมชอบอยู่เหรอ” ยาคุชิยืนคร่อมคนตัวเล็ก แขนสองข้างยันผนังห้องกักขังเธอไว้ สายตาสีเข้มเหลือบมองดวงหน้าสวยเซ็กซี่
“อื้อ ยาคุชิหยุดทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ได้แล้ว ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่คุณจะมาลวนลามได้แล้วนะ ฉันแต่งงานมีสามีแล้ว ประ ปล่อยฉันสิ”
เจสสิก้าร้องกรี๊ด เมื่อชายหนุ่มจู่โจมซุกหน้าลงบนซอกคอของเธอ
ยาคุชิไม่ทำตามคำขอของหญิงสาว เขายังคงจูบต้นคอระหงษ์พลางถามเธอว่า “สามีคุณรู้ไหมว่าเราสองคน ปะ..” คำว่า ‘เป็นอะไรกัน’ ถูกหญิงสาวพูดแทรกขึ้นว่า
“คุณคงไม่ทำลายชีวิตคู่ของฉันหรอกนะ..”
“หึ! นี่คุณกล้าพูดนะ ชีวิตคู่ แล้วกลับผมล่ะมันคืออะไร” ยาคุชิถามผสมเสียงหัวเราะ ดวงตาแดงก่ำจ้องหน้าของหญิงสาว
เจสสิก้าไม่ทันได้ตั้งตัว เธอร้องกรี๊ดเมื่อถูกชายหนุ่มฉุดกระชากจนเธอลอยเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง “โอ๊ย! นี่ยาคุชิ ฉันเจ็บนะ..”
“ไปกับผมเดี๋ยวนี้” ยาคุชิอุ้มคนตัวน้อยจนเท้าลอย เขาโกรธมากจึงก้มลงจูบปากอิ่มจนเธอหายใจไม่ออก พร้อมเดินเข้าไปยังลิฟต์
“ไม่ ฉันไม่ไป ปล่อยฉันนะ ยาคุชิ ปล่อย ถ้าคุณไม่ปล่อยฉันจะตะโกนให้คนช่วยแน่” เจสสิก้าขัดขืน ทั้งหยิกทั้งข่วนชายหนุ่ม
เมื่อประตูลิฟต์ปิด ยาคุชิก็ปล่อยให้เจสสิก้าเป็นอิสระ ซึ่งเขายืนเกาคางมองหญิงสาวว่า “เอาสิ ตะโกนเลย ตะโกนดังๆนะ ทุกคนจะได้รู้ความจริงเสียทีว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน..”
“ยาคุชิ คุณมันหาเรื่อง” เจสสิก้าว่ายาคุชิ เมื่อลิฟต์เลื่อนลงทีละชั้น ซึ่งเธอกดลิฟต์ให้หยุด แต่ก็ถูกยาคุชิกดลิฟต์ให้เลื่อนลงไปชั้นใต้ดิน
เมื่อประตูลิฟต์เปิด ยาคุชิก็พยักหน้าให้เธอเดินนำหน้า แต่เจสสิก้าไม่ทำตาม ชายหนุ่มก็จับให้เธอหันหน้าไปทางประตูลิฟต์แล้วผลักหลังเธอ พร้อมทั้งกัดฟันพูดว่า “ทำไม พอผมพูดความจริงทำเป็นโกรธเหรอ..”
“คุณทำแบบนี้ต้องการอะไร” เจสสิก้าหยุดเดิน พลางขยับถอยหลังหนี
“ต้องการคุณไง คุณยังเป็นภรรยาผมอยู่ และเราสองคนก็ยังไม่ได้หย่ากันด้วย” ยาคุชิบอกพร้อมจับข้อมือเธอมากุมไว้ แล้วกระชากให้ หญิงสาวเดินตามรอยเท้าของตัวเอง
“พรุ่งนี้ไปหย่าให้ฉันซะสิ ฉันจะไปรอคุณที่อำเภอ” เจสสิก้าทุบตีมือใหญ่ พยายามยื้อยึดมฉุดดึงให้มือออกจากมือหนาไม่ยอมเดินตามเขา
ยาคุชิหยุดเดิน แล้วหันหลังมาพูดใส่หน้าหญิงสาวว่า “นี่คุณฝันกลางวันเหรอ ผมไม่หย่าให้คุณไปมีความสุขกับไอ้เตชินท์นั่นหรอกนะ..”
“ยาคุชิ นี่คุณจะพาฉันไปไหน” เจสสิก้าถามเสียงไม่พอใจ และขัดขืนไม่ยอมเดินตามชายหนุ่ม
ยาคุชิยิ้มมุมปากแล้วผลักจนหลังของเธอชนข้างรถ เขาเดินย่างสามขุมตามเธอไปเปิดประตูรถ แล้วสั่งเสียงเหี้ยมว่า “ขึ้นรถ..”
“ฉันไม่ไปกับคุณ” เจสสิก้าเดินถอยหลัง ไม่ยอมขึ้นรถ
“จะขึ้นรถดีๆหรือว่าจะให้ผมใช้กำลัง” ยาคุชิหายใจเบาๆ ไม่อยากทำร้ายหญิงสาว เขาจึงทำเพียงแค่สั่งเสียงเรียบและพยักหน้าให้เธอทำตาม
“คนสารเลว นี่คุณจะพาฉันไปไหน” เจสสิก้าด่าชายหนุ่ม
“ผมเลวได้มากกว่าที่คุณคิดอีก ถ้าคุยยังอ้อยอิ่งไม่ยอมขึ้นรถ” ยาคุชิทำตาขึงขังใส่หญิงสาว พร้อมทั้งก้าวเท้าเข้าไปหาเธอ
เสียงเยือกเย็นดุจเกร็ดหิมะทำให้เจสสิก้าหนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูก เธอกลัวยาคุชิมากจึงรีบเข้าไปนั่งในรถ แล้วปิดประตูรถเสียงดัง ‘ปัง!’ เมื่อชายหนุ่มเดินย่างสามขุมเข้ามานั่งในรถฝั่งคนขับ…
ด้านเตชินท์ตอบคำถามของผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ได้ว่าเจสสิก้าไปไหน เขาก็ต้องเป็นฝ่ายขอตัวเดินทั่วบริษัทเพื่อตามหาภรรยา
“เห็นคุณเจสสิก้าไหม” เดินผ่านลูกน้องคนไหนเตชินท์ก็ถามหาภรรยา
“ไม่เห็นค่ะ” พนักงานก้มหัวทักทายและตอบคำถามของเจ้านาย
และเมื่อเห็นคนงานเดินสวนทาง เตชินท์ก็ถามว่า “เห็นคุณเจสไหม”
“มะ..” พนักงานไม่ทันได้ตอบคำถามว่า ‘ไม่เห็นครับ’ ก็ต้องหยุดพูดเมื่อเสียงของเซนทาพูดแทรกขึ้นว่า “ตามหาหนูเจสสิก้าเหรอคุณเตชินท์..”
ด้านเตชินท์พยักหน้าให้พนักงานไปทำงานต่อ แล้วส่วนตัวเขาก็หันมาถามชายชราว่า “คุณเซนทา มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ..”
“ไม่มีหรอก นี่ผมก็ตามหายาคุชิเหมือนกัน คุณเตชินท์เห็นไหม” เซนทายิ้มมุมปากเมื่อถามชายหนุ่มรุ่นลูกชายของตัวเอง
“ไม่เห็นครับ” เตชินท์ตอบความจริง เพราะตั้งแต่เลิกประชุม เขาก็ไม่เห็นยาคุชิเลยเหมือนกัน
“แย่จริงไอ้ลูกชายคนนี้ หายหัวไปไหนนะ” เซนทารู้ว่าลูกชายสุดที่รักของเขาไปไหน แต่ชายชราก็แกล้งบ่นลูกชายให้เตชินท์รับรู้
“..” เตชินท์ไม่ยอมตอบ เพราะเขารู้สึกว่าเซนทาดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับเขาสักเท่าไร
“ผมต้องขอโทษแทนยาคุชิด้วยนะ ที่ไม่ยอมมาแสดงความยินดีกับคุณเตชินท์นะ” เซนทาบอก
“ไม่เป็นไรครับ ไว้วันเปิดตัว ผมคงได้จับมือคุณยาคุชินะครับ”เตชินท์พูด พลางเดินนำหน้าเซนทาตรงไปที่ลิฟต์ ซึ่งเตชินท์กดลิฟต์ และเมื่อลิฟต์เปิด เซนทาก็รีบพูดว่า
“งั้นผมขอตัวก่อนนะ” เซนทาพยักหน้าให้ลูกน้องสองคนเคลียร์พื้นที่ และเมื่อลูกน้องเดินแทรกตัวเข้าไปยืนในลิฟต์ เซนทาก็เข้าไปยืนกลาง
“ครับ” เตชินท์ก้มหัวเคารพเซนทา ยืนรอจนลิฟต์ปิด เลื่อนลงไปชั้นล่างแล้ว เขาก็จะเดินตามหาเจสสิก้า แต่ก็ต้องหยุดเดินเมื่อลูกน้องเรียก
“คุณเตชินท์ครับ..”
“มีอะไรเหรอ อะซุม” เตชินท์หันหลังไปมองลูกน้อง ‘อะซุม’ เป็นคนขับรถของโอชิ ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นคนติดตามเตชินท์
“คุณท่านโทรมาครับ” อะซุมบอก พร้อมเอามือถือให้เจ้านาย
ด้านเตชินท์ก่อนที่จะคุยโทรศัพท์กับโอชิ เขาก็ถามอะซุมว่า
“นี่นายเห็นคุณเจสไหม..”
“มะ ไม่เห็นครับ” อะซุมตอบเสียงติดอ่าง และรีบก้มหน้าหลบสายตาของเจ้านาย เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้ความลับในแววตาของตัวเอง
“ไปไหนของเขาว่ะ..”เตชินท์เมื่อได้คำตอบจากลูกน้อง เขาพูดเสียงไม่พอใจว่าเจสสิก้า แล้วปรับเสียงให้เป็นปรกติเมื่อรับสายของโอชิ
ซึ่งทุกการกระทำของเตชินท์ยังอยู่ในสายตาของเซนทา ชายชรายิ้มมุมปากแล้วพูดคนเดียวเสียงเหี้ยมว่า
“หึ!เดินตามหาทั้งชาติมึงก็ไม่เห็นหรอกว่าเมียคนสวยของมึงไปไหน”…
ไม่ถึงชั่วโมงเตชินท์ก็มาถึงบ้านของโอชิ ซึ่งอะซุมรีบร้อนลงจากรถมาเปิดประตูรถให้เจ้านาย ด้านเตชินท์ก่อนจะลงจากรถ เขาก็บอกอะซุมว่า
“นายไปพักเถอะ..”
“ถ้าผมกลับไปแล้ว ใครจะขับรถไปส่งคุณที่ห้องพักล่ะครับ” อะซุมถาม
“วันนี้ฉันคงค้างที่นี่ นายกลับไปเถอะ” เตชินท์บอก เพราะทุกครั้งที่มาที่นี่ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เขาก็ต้องค้างที่นี่ ถึงแม้ไม่อยากค้างก็ตาม
“ครับ” อะซุมตอบ แล้วขึ้นรถ
เมื่อลูกน้องขับรถไปใกล้แล้ว เตชินท์ก็หันไปมองบ้านเก่าแก่ชั้นเดี่ยวสไตล์ญี่ปุ่น เห็นโอชิยืนตกแต่งต้นไม้บอนไซอยู่ที่สนาม เตชินท์ก็เปิดประตูรั้วเดินเข้าไปหา
“คุณพ่อครับ” เตชินท์ทักทาย พร้อมทั้งก้มหัวให้โอชิ
“เตชินท์มาแล้วหรือ” โอชิถอดถุงมือ แล้วยื่นกรรไกรให้คนสวนดูแลต้นไม้แทน
“คุณพ่อมีอะไรให้ผมรับใช่เหรอครับ” เตชินท์ขยับตัวหลีกทางให้ชายชราเดิน ซึ่งเขาก็เดินตามหลังของโอชิเข้าไปในบ้าน
“โปรเจกต์ของเตชินท์ผ่านคณะกรรมการของบริษัทใช่ไหม” โอชิสะบัดกิโมโน แล้วนั่งขัดตะหมาดบนเบาะติดพื้น พลางยกมือให้เตชินท์นั่ง
“ครับ” เตชินท์ยืนโน้มตัวทำความเคารพอีกครั้ง แล้วนั่งทับส้นเท้าบนพื้นตรงหน้าชายชรา
“ก็แสดงว่า เตชินท์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นประธานคนที่สี่นะสิ” โอชิเทชาใส่แก้ว พยักหน้าหงึกๆเมื่อได้จิบน้ำชา
“ทุกคนลงความเห็นอย่างนั้นครับ” เตชินท์คลานเข้าไปเอาชาที่โอชิเทใส่ถ้วยมาจิบเช่นกัน
“ฮ่าๆ พ่อภูมิใจในตัวเตชินท์มากนะ ทำงานด้วยสมองของตัวเองไม่ได้ใช้เส้นสายของพ่อ” โอชิชื่นชมลูกเขย
“คุณพ่อก็มีส่วนทำให้ผมได้ตำแหน่งนี้ครับ” เตชินท์บอกพ่อภรรยา
“ฮ่าๆ นี่คุยกันตั้งนาน พ่อยังไม่เห็นยัยเจสเลย” โอชิหัวเราะชอบใจ จิบชาไปสายตาก็มองหาลูกสาวสุดดวงใจ
ด้านเตชินท์ทำหน้างุนงง เพราะเข้าใจว่าเจสสิก้ามาที่นี่ เขาจึงถามประมุขของบ้านแทนคำตอบว่า “อ้าว คุณเจสไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอครับ..”
โอชิทำสีหน้าสงสัย บอกลูกเขยว่า “ไม่นี่..”
“ไม่ได้มาที่นี่ แล้วคุณเจสไปไหนนะ” เตชินท์ถาม
“อยู่ที่ทำงานหรือเปล่า” โอชิตอบเสียงเครียด
“ไม่เห็นครับ ผมถามเลขาส่วนตัวของเธอ ก็บอกว่าไม่เห็นคุณเจสตั้งแต่ผมเข้าไปประชุมแล้วครับ” เตชินท์บอกเสียงเรียบ
“..” โอชินิ่งแกล้งยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ พลางนึกถึงลูกสาวคนเดียว ‘พ่อคิดว่าเจสลูกพ่อคงไม่ไปกับยาคุชิหรอกนะ’ โอชิคิดในใจคนเดียว
“คุณพ่อไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” เตชินท์เมื่อเห็นโอชิเงียบ เขาก็ขอตัวกลับ
“วันนี้ค้างที่นี่นะเตชินท์” โอชิชวนลูกเขย
“แล้วคุณเจสล่ะครับ เธอไม่รู้ด้วยว่าผมมาหาคุณพ่อ นี่ถ้ากลับห้องไม่เจอผมคงวุ่นวายอาระวาดเอากับแม่บ้านแน่ครับ” เตชินท์ผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอดีตของภรรยา ซึ่งเขาถามหาเธอเพราะเป็นห่วง
“เดี๋ยวพ่อจะจัดการให้ เตชินท์ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ จะได้ลงมากินข้าวกัน” โอชิบอกลูกเขย
“ครับ” เตชินท์รับคำ และก่อนที่จะออกจากห้องรับแขกไปยังห้องพักของตัวเองนั้น เขาก็ลุกขึ้น แล้วโค้งคำนับแบบประเพณีญี่ปุ่น…