ตอนที่ 14 ผู้ป่วย

1720 คำ
เรือนสกุลลี่บ้านสามีของนางเหม่ยซื่ออยู่ไม่ไกลจากเรือนสกุลจางเท่าใดนัก แต่ท่ามกลางหิมะหนาเตอะสูงท่วมเข่า คนทั้งสามก็ต้องใช้ฟางแห้งมาผูกมัดแทนพื้นรองเท้าเพื่อไม่ให้ขาจมลงไปใต้หิมะ การเดินที่ไม่สะดวกทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าปกติ บ้านสกุลจางมีเตาอุ่นมือเพียงชิ้นเดียว พวกเขาจึงสลับกันอุ้มเตาใบเล็กไว้ในมือทีละคน “ท่านน้าเจ้าคะ ท่านถือเตาเอาไว้ก่อนเถิดเจ้าค่ะข้ายังทนได้อยู่” จางจื่อรั่วนึกสงสารเหม่ยซื่อจับใจ สตรีผู้นี้ได้พักร่างกายเพียงครู่เดียวนางก็ต้องเดินกลับไปที่เรือนตนอีกครั้ง ปลายจมูกของเหม่ยซื่อจึงมีเกล็ดหิมะบางๆ จับตัวเป็นแผ่นติดอยู่ ร่างทั้งร่างแข็งทื่อจนแทบก้าวขาต่อไปไม่ไหว เหม่ยซื่อยกยิ้มที่มุมปากให้เด็กสาว ก่อนจะรับเอาเตาอุ่นมือมาตระกองกอดไว้แนบอก นางหนาวมากจริงๆ หากไม่เพราะเป็นห่วงคนที่อยู่ทางบ้านนางคงไม่มีแรงอดทนอยู่ได้นานถึงเพียงนี้ ถึงเรือนสกุลลี่ สองปู่หลานก็ได้เห็นชายชรากับเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจางจื่อรั่วนั่งผิงไฟรอท่านหมออยู่ก่อนแล้ว “ท่านหมอจางเชิญเถิด ดูหลานสาวของพวกเราก่อน” ชายชรารีบผุดลุกขึ้นมาต้อนรับ จางจื้อเดินตามชายชราเข้าไปในห้องหนึ่ง บนเตียงนอนมีร่างของเด็กหญิงอายุราว 8 ปี ผิวเนื้อของเด็กหญิงปรากฏร่องรอยผื่นแดงที่จางลงเล็กน้อยจนกลายเป็นสีชมพูไปทั่วร่าง “หยินหยางไม่สมดุล ธาตุไฟกำเริบ ดูเหมือนจะเป็นอาการไข้หวัดจากความเย็น” จางจื้อจับชีพจรเด็กหญิงตัวน้อยแล้วเอ่ยออกมา “เหตุใดทั่วตัวนางจึงได้มีตุ่มแดงขึ้นทั่วตัวอย่างนั้นเล่าท่านหมอ ไข้ลมเย็นพวกเราเคยพบกันบ่อยๆ แต่ไม่เคยมีผู้ใดมีผื่นแดงขึ้นไปทั่วเช่นนี้มาก่อนเลย” ชายชราร้องถามต่อ “อาจเป็นเพราะความชื้นและห้องนี้ก็ไม่ได้เปิดให้อากาศถ่ายเทก็เป็นได้ แต่ทั่วไปแล้วหากไฟกำเริบก็มักจะถ่ายแข็ง แต่นี่บุตรสะใภ้เจ้ากลับบอกว่าบุตรสาวของนางถ่ายท้องไม่หยุด นี่ต่างหากที่ข้าแปลกใจ” จางจื้อยังคงจับเนื้อตัวพลิกฝ่าเท้าของเด็กหญิงมาดู เห็นว่าแม้กระทั่งผิวหนังบริเวณฝ่าเท้าของเด็กน้อยก็ล้วนมีตุ่มแดง “ติ๊ด!! ติ๊ด!!” ระบบส่งเสียงเตือนขึ้นมาในหูของจางจื่อรั่วก่อนที่ขวดแก้วใบเล็กจิ๋วจะตกมาสู่มือนาง 4 ขวด!! ที่แท้เด็กหญิงตัวน้อยถูกวินิจฉัยจากระบบว่านางกำลังเป็นโรคหัด อาการจะเหมือนผู้ป่วยไข้หวัดทุกประการ เพียงแต่จะเกิดตุ่มแดงไปทั่วตัวเช่นนี้ไปอีกหลายวันก็จะยุบตัวไปเอง ส่วนที่เด็กหญิงมีภาวะท้องเสียร่วมด้วยก็เป็นเพราะนางมีร่างกายอ่อนแอเกินไปจึงทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน โรคหัดนั้นเมื่อไข้ลดลงแล้วก็สามารถหายได้เองหากได้รับการดูแลที่ดี แต่อาการท้องเสียไม่หยุดนั่นอาจทำอันตรายกับเด็กน้อยจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว “ข้าจะต้มยาให้นางดื่มก่อนแล้วกัน ต้องให้ไข้ลดลงมาอีกสักหน่อย อาการเช่นนี้ข้าเองก็ยังไม่เคยพบเห็น" จางจื้อไม่รอช้า หยิบสมุนไพรหลายชนิดที่เตรียมมาด้วยออกมาวางบนห่อผ้าส่งให้จางจื่อรั่วนำไปต้ม จากนั้นก็หยิบเข็มเงินเตรียมรักษาอาการป่วยของเด็กหญิงตัวน้อยด้วยวิธีการฝังเข็มที่ตนถนัด “ท่านน้าช่วยข้าก่อไฟไว้ก็พอเจ้าค่ะ เคี่ยวยาต้องใช้เวลาสักระยะข้าจะเฝ้าอยู่ในครัวเอง รบกวนท่านดูแลท่านปู่แทนข้าด้วย” จางจื่อรั่วสบโอกาสที่จะใช้ยาในขวดแก้วเพื่อช่วยเหลือเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ในห้อง ขนาดของขวดแก้วที่ระบบส่งออกมานั้นเล็กเท่านิ้วก้อย ทันทีที่นางได้รับก็รีบเก็บขวดแก้ว 4 ขวดไว้ในช่องกระเป๋าที่เย็บติดไว้ด้านในของสายผ้าคาดเอว เมื่อได้รับหน้าที่ต้มยา นางก็แอบเทของเหลวจากในขวดแก้วใส่ไว้ก้มชาม แล้วนำมาส่งให้นางเหม่ยซื่อป้อนบุตรสาว “ยังมีคนป่วยอีกใช่หรือไม่เจ้าคะท่านน้าเหมย” จางจื่อรั่วเห็นว่าชายชราและท่านน้าเหมยยังคงเฝ้าดูแลเด็กหญิงตัวน้อยไม่ห่าง จึงแสร้งถามออกมา เพราะระบบส่งยาออกมา 4 ขวด เวลานี้นางเพิ่งจะใช้ไป 1 ขวดเท่านั้น หมายความว่าในเรือนนี้ยังมีผู้ป่วยโรคเดียวกันอยู่อีก 3 คน ชายชราผู้อาวุโสในเรือนสกุลลี่หน้าซีดเผือดก้มศีรษะต่ำลงทันทีเมื่อได้ยินคำถามของเด็กสาว ส่วนบุตรชายคนโตของเหมยซื่อก็ทำท่าคล้ายว่าจะร้องไห้ออกมา ก่อนจะรีบเดินหนีออกจากห้องของน้องสาวไป “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เหมยซื่อเม้มริมฝีปากแน่น ร้องถามจางจื่อรั่วด้วยสีหน้าหวั่นวิตก “นั่นสิ ข้าจำได้ว่าเจ้ามีบุตรทั้งหมดสามคนมิใช่หรือ? อีกคนอยู่ที่ไหน แล้วสามีของเจ้าเล่า?” จางจื้อไม่รู้ว่าหลานสาวถามถึงผู้อื่นด้วยสาเหตุอันใด แต่เขาก็เพิ่งจะนึกได้ว่านางเหมยซื่อเป็นเพียงสะใภ้ ในเรือนยังมีสามีและบุตรของนางเหมยที่ยังไม่พบอยู่อีกคน เมื่อครู่เขาเห็นเพียงบุตรชายคนโตนั่งอยู่กับท่านปู่ลี่ กับเด็กหญิงที่นอนป่วยอยู่ตรงนี้เท่านั้น พ่อสามีกับลูกสะใภ้หันไปส่งสายตาสลับกันไปมา แต่ในที่สุดก็อดทนกับสายตาตั้งคำถามของจางจื้อและหลานสาวไม่ไหว ทั้งนางและชายชราต่างก็โขกศีรษะให้สองปู่หลานหลายครั้งพร้อมเพรียงกัน “ท่านหมอจางยกโทษให้ข้ากับท่านพ่อสามีด้วยเถิดเจ้าค่ะ เราสองคนสงสัยว่าพวกเขาจะติดโรคระบาดมาจึงไม่กล้าบอกความจริงกับท่านทั้งหมด แท้จริงแล้วสามีกับบุตรชายคนรองของข้าก็ป่วยด้วยอาการเดียวกันนี้ทั้งหมด” นางเหมยยอมรับสารภาพ และนี่จึงเป็นคำตอบกับข้อสงสัยในใจของจางจื้อเช่นกันว่าเหตุใดสามีของนางจึงไม่ไปตามตนที่เรือนสกุลจางเอง แต่กลับส่งภรรยาที่ร่างกายอ่อนแอกว่าฝ่าหิมะออกไป จางจื้อหยุดชะงักใบหน้าแข็งค้าง ในใจนึกโมโหจนภาพเบื้องหน้าพร่ามัวสมองขาวโพลนไปหมด ตนเองอายุมากแล้วไม่เสียดายชีวิต แต่หลานสาวเพิ่งอายุเท่าใดเอง เวลานี้ก็เพิ่งจะได้มีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตากัน และเป็นตนเองที่พาหลานสาวมาเสี่ยง “ย่อมไม่ใช่โรคระบาดเจ้าค่ะหากเป็นเช่นนั้นจริง เวลาผ่านมาหลายวันแล้วคนในเรือนย่อมติดโรคกันไปหมดแล้ว” “จริงอย่างที่หลานสาวกล่าว พวกเจ้าวางใจข้าไม่ถือโทษหรอก” จางจื้อลอบระบายลมหายใจออกมา เกือบไปแล้วเชียวเขาแก่ชราจนหลงลืมจุดสำคัญไปได้ ยังดีที่หลานสาวรู้ความยิ่งนัก จากนั้นจางจื้อก็ไปดูอาการป่วยของสองพ่อลูกที่พักอยู่อีกห้อง รวมทั้งจัดยาชนิดเดียวกันให้จางจื่อรั่วไปต้มมาเพิ่ม และนางก็ยังคงกระทำเช่นเดิมโดยการเติมยาในขวดแก้วใส่ไว้ก้นชามของคนทั้งสอง “จะเป็นโรคระบาดหรือไม่ข้าจะไปศึกษาค้นตำราดูอีกที เวลานี้ข้าทำได้เพียงรักษาไปตามอาการที่เห็นก่อนเท่านั้น เจ้าสองคนไม่ต้องห่วง กลับไปเราสองคนปู่หลานจะแยกตัวกับคนที่เหลือป้องกันการระบาดของโรคเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะกลับมาดูพวกเขาอีกครั้ง” จางจื้อชี้แจงด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง แต่ในใจก็รู้สึกห่วงหลานสาวไม่น้อย “ท่านน้าเหม่ยลองเล่าลำดับการเจ็บป่วยของท่านน้าลี่และบุตรชายคนรองของท่านให้ฟังอีกครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ” “คนแรกที่มีอาการป่วยก็คือบุตรสาวคนเล็ก ห่างกันเพียงสองคืนบุตรชายคนรองก็ล้มป่วยตาม และก็ลามมาถึงสามีข้า เวลานี้คนที่ถ่ายท้องบ่อยๆ มีเพียงบุตรชายและบุตรสาว สามีข้ามีเพียงไข้สูงและตุ่มแดงตามตัว แต่ข้าท่านพ่อสามีและบุตรชายคนโตกลับไม่มีความผิดปกติใดเลย พวกเราไม่ได้มีสิ่งใดปกปิดอีกแล้วล่ะ” เหม่ยซื่อตอบตามจริง “ท่านปู่ ท่านลองจับชีพจรให้กับคนทั้งสามที่เหลือก่อนจะดีกว่าเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าอาจมีใครเพิ่งจะได้รับเชื้อมาภายหลัง จะได้รีบป้องกันเอาไว้ก่อน” จางจื่อรั่วไม่ได้กลัวว่าจะติดโรคระบาดแต่อย่างใด เพราะนางรู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นเพียงโรคหัด การแพร่เชื้อของโรคหัดก็คล้ายกับไข้หวัด ที่ติดต่อผ่านการไอจาม การสัมผัสน้ำมูกน้ำลาย หรือการพูดคุยกันในระยะใกล้ชิดระหว่างผู้ป่วย ร่างกายของท่านปู่ลี่ ท่านน้าเหม่ย และบุตรชายคนโตอาจจะแข็งแรงมีภูมิต้านทานกว่าคนที่เหลือจึงไม่ติดโรคมาก็เป็นได้ จางจื้อรู้สึกทึ่งในความกล้าหาญของหลานสาวคนโตยิ่งนัก แม้ว่านางเหม่ยจะบอกกล่าวอย่างชัดแจ้งแล้วว่าคนในครอบครัวอาจจะติดเชื้อโรคระบาดมา แต่หลานสาวยังรักษาท่าทางสุขุมนุ่มนวล ไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด ซ้ำยังมีความคิดรอบคอบอีกด้วย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม