ผู้เฒ่าลี่เดินไปเคาะห้องของหลานชายคนโตที่เดินหนีไปเมื่อครู่ เรียกเขาให้ออกมาพบจางจื้อเพื่อตรวจอาการพร้อมกัน แต่จางจื้อก็ยังยืนยันว่าคนทั้งสามล้วนมีชีพจรไหลลื่นไม่ติดขัด ไม่พบความผิดปกติของร่างกายแต่อย่างใด แต่จางจื่อรั่วยังมั่นใจในการวินิจฉัยของระบบของนางอยู่
“พวกท่านช่วยอ้าปากให้ข้าดูสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” เด็กสาวไม่ยอมแพ้ นางจำได้ว่าอาการเริ่มต้นของโรคหัดจะคล้ายคลึงกับไข้หวัด แต่จะมีลักษณะพิเศษอีกอย่างในช่วงระยะแรกเริ่มของการป่วย
ผู้เฒ่าชรา นางเหม่ยและบุตรชาย ต่างก็เหลือบตามามองที่ท่านหมอจางพร้อมกัน มิใช่ว่าท่านหมอก็ได้ตรวจอาการไปแล้วหรอกหรือ? แล้วหลานสาวของท่านหมอจางมีทักษะการแพทย์ด้วย?
จางจื่อรั่วได้ซักถามเกี่ยวกับโรคที่พบได้บ่อยรวมทั้งวิธีการรักษา การใช้ยาสมุนไพรกับจางจื้อมาหลายครั้งหลายหน ทุกครั้งนางก็จะตอบโต้และตั้งข้อสังเกตหลายประการที่น่าทึ่งออกมา นางฉลาดและมีวิธีการแปลกใหม่มาสนทนากับจางจื้ออยู่บ่อยครั้ง ทำให้จางจื้อวางใจในตัวหลานสาวไม่น้อย ว่านางไม่ได้เสแสร้งแกล้งเอาใจผู้ชราอย่างตน แต่เด็กสาวผู้นี้เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง
การเรียกตัวคนทั้งสามมาตรวจอาการก็เป็นความคิดของหลานสาว เขาจึงไม่คิดห้ามปราม เพราะหากตนและหลานสาวมีโอกาสติดโรคที่ยังไม่รู้จักนี้ ตนก็ควรค้นหาสาเหตุและเก็บข้อมูลเอาไว้พิจารณาให้มาก
“นางได้จางหย่งสั่งสอนวิชาแพทย์มา ข้าเองก็เคยทดสอบนางมาบ้างแล้ว ให้นางดูเถิด” จางจื้อตัดสินใจปดออกไปเล็กน้อย เพราะหากบอกว่าตนเพิ่งจะสอนจางจื่อรั่วในระยะเวลาเดือนสองเดือน คนเหล่านี้อาจไม่ยินยอมรับการตรวจจากหลานสาว
ผู้เฒ่าลี่เป็นคนแรกที่ยอมให้จางจื่อรั่วตรวจอาการก่อน โดยนางได้ทำการจับชีพจรตามที่ท่านปู่จางสอนมา จากนั้นก็ให้อ้าปากเพื่อดูความผิดปกติภายในช่องปาก ถัดมาก็เป็นนางเหม่ยซื่อ และคนสุดท้ายที่ยังมีท่าทีอิดออดไม่ยอมอ้าปากให้ตรวจก็คือลี่เลี่ยงหรง
เด็กหนุ่มอายุพอๆ กับจางจื่อรั่ว เขาจึงรู้สึกเขินอาย เมื่อครู่เพียงแค่เด็กสาวสัมผัสที่ข้อมือเพื่อตรวจอาการเด็กหนุ่มก็รู้สึกขัดเขินจนแทบลืมหายใจอยู่แล้ว หากต้องอ้าปากโดยมีใบหน้างามล้ำมาวนเวียนอยู่ใกล้ใบหน้าตนจะน่าอับอายขายหน้าเพียงใดกัน
“ข้าเป็นหมอ ไม่แบ่งแยกชายหญิง พี่ชายอย่าได้ถือสารังเกียจเลยเจ้าค่ะ” มีหรือว่าจางจื่อรั่วจะไม่เข้าใจอาการกระสับกระส่ายม้วนตัวเป็นก้อนของเด็กหนุ่ม แต่เจ้าหนู ตัวจริงพี่สาวอายุ 18 ปีแล้วนะ! เด็กชายวัยละอ่อนเช่นเจ้าพี่สาวไม่คิดเกินเลยเป็นแน่
“จริงของนาง เจ้าให้นางดูเสียหน่อยเถิด ไม่ได้ยากอันใดเลยก็แค่อ้าปากกว้างๆ เท่านั้น หรือเจ้าไม่ได้ขัดฟันบ้วนปากเมื่อเช้า?”
“ท่านแม่!” ลี่เลี่ยงหรงยิ่งเขินหนัก ท่านแม่นี่กระไรมาพูดเรื่องบ้วนปากสีฟันเอาเวลานี้ เด็กหนุ่มลอบตำหนิในใจ หันหลังไปพ่นลมจากปากใส่ฝ่ามือสองสามที เมื่อเห็นว่ากลิ่นยังดีอยู่จึงได้วางใจ
จางจื่อรั่วได้เห็นใบหน้าเด็กหนุ่มในระยะใกล้เมื่อครู่แล้ว ขอบตาและดวงตาของลี่เลี่ยงหรงเริ่มมีรอยแดงจางๆ ปรากฏขึ้นแต่อุณหภูมิของเขายังคงปกติ ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะเพิ่งได้รับเชื้อมาไม่นานจึงยังไม่มีไข้สูง แต่นางก็ยังตั้งใจสำรวจดูให้แน่ใจอีกครั้งเพื่อระบุตัวตนเจ้าของขวดยาที่เหลืออยู่ให้แน่ชัด
เป็นตามคาด ที่กระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามซี่ในของลี่เลี่ยงหรงมีจุดสีเทาขาวปรากฏขึ้นกลุ่มหนึ่ง คาดว่าคืนนี้เด็กหนุ่มอาจจะเริ่มมีไข้และออกผื่นตามมาในที่สุด
“เขามีอาการป่วยเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ พี่ชายท่านนี้ท่านก็ต้องดื่มยาเช่นกัน” จางจื่อรั่วฟันธงฉับ
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เลี่ยงหรงมิได้มีไข้ตัวร้อน เจ้าคงดูผิดไปแล้วกระมัง เขากับข้าและท่านพ่อก็ปกติดีเหมือนกันทุกประการ หากจะติดโรคจากน้อง ๆ และบิดา เขาก็คงล้มป่วยไปเสียหลายวันแล้ว” เหมยซื่อยิ้มฝืดเฝื่อนจะตำหนิเด็กสาวก็ไม่สมควร คนเขามีน้ำใจหยิบยื่นให้ ตนเพิ่งจะทำเรื่องน่าละอายลวงท่านหมอจางมาหยก ๆ สมควรไว้หน้าท่านผู้เฒ่าบ้าง
“ขึ้นชื่อว่าเป็นยา อย่างไรก็มีอันตรายอยู่สามส่วน ข้าคงยังไม่กล้าให้หลานชายดื่มทั้งที่เขายังแข็งแรงดีอยู่หรอก” ผู้เฒ่าลี่สนับสนุนความคิดของบุตรสะใภ้
“ข้าย่อมไม่ฝืนบังคับหรอก จื่อรั่วก็เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น พวกเจ้าอย่าได้ถือสา เอาล่ะวันนี้เราสองคนกลับก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยเข้ามาดูอาการพวกเขาสามพ่อลูกให้อีกครั้ง” จางจื้อก็ไม่อาจบังคับใจผู้อื่น ตนเองก็ยังตรวจอาการผิดปกติไม่พบ จะให้ยืนยันตามคำกล่าวของหลานสาวอย่างไม่มีเหตุผลก็ไม่เหมาะ
จางจื่อรั่วไม่ได้โกรธ นางไม่ใช่ท่านหมอมากประสบการณ์ไม่ใช่ว่าในโลกนี้หรือโลกอนาคต ร่างกายของเด็กหญิงวัย 14 ปีก็ไม่น่าเชื่อถือ จะให้นางทิ้งขวดแก้วไว้กับคนสกุลลี่ก็ไม่ได้ แต่เมื่อนึกว่าอาการของลี่เลี่ยงหรงก็ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ไม่ได้อันตรายมากนักก็เบาใจ
“ข้าขออภัยท่านผู้เฒ่า ท่านน้า พี่ชาย แต่ถึงอย่างไรคืนนี้ท่านน้าก็หมั่นไปดูพี่ชายเลี่ยงหรงให้บ่อยหน่อยนะเจ้าคะ หากเป็นไข้ตัวร้อนยามค่ำคืนไม่มีผู้ใดพบเห็นเข้าจะลำบาก”
“ได้สิ ขอบใจเจ้ามากนะหลานสาวที่เป็นห่วง คืนนี้ข้าจะคอยระวังเอาไว้”
สุดท้ายสองปู่หลานก็ร่ำลาครอบครัวสกุลลี่เดินกลับเรือนกันลำพัง
“จื่อรั่ว กลับไปเราต้องอยู่ให้ห่างท่านย่าและน้อง ๆ ของเจ้าเอาไว้ก่อน ไม่แน่ว่าโรคนี้อาจเป็นโรคระบาดจริงก็ได้”
“ท่านปู่ข้ารับรองได้ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคชนิดนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ใช่โรคระบาดร้ายแรงแน่นอน แต่ก็สามารถติดต่อกันได้คล้ายกันเป็นไข้ลมเย็น แต่พวกเราป้องกันตัวเองไม่ให้แพร่เชื้อไปถึงผู้อื่นไว้ก็ดี”
“เช่นนั้นเจ้าพบอะไรในปากของหลานชายคนโตสกุลลี่กัน”
“มีตุ่มน้ำเล็กๆ ในปากของเขาเจ้าค่ะ ดวงตาของเขาก็เริ่มแดง พี่ชายน่าจะติดโรคมาแล้วอีกไม่นานก็จะเริ่มมีไข้” จางจื่อรั่วตอบได้เพียงจากประสบการณ์ที่นางพบเห็นบ่อยในขณะที่อยู่ในโรงพยาบาล แต่มากไปกว่านี้นางก็ไม่สามารถอธิบายได้โดยละเอียดเช่นกัน
จางจื้ออมยิ้มอยู่ในใจ จางจื่อรั่วรู้จักสังเกต โดยการมอง การฟังและดมกลิ่น การถาม การจับชีพจรและการคลำ อันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ควรกระทำ ตนเองเว้นว่างจากการรักษาผู้ป่วยมานานหลงลืมหลักการสำคัญเหล่านี้ไป แต่หลานสาวที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้ได้ไม่นานกลับจดจำและนำไปใช้ได้ ช่างเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งนัก
ครั้งนี้หลานสาวตรวจอาการและวินิจฉัยผิดพลาดไปบ้าง เพราะยังขาดประสบการณ์ หลังจากนี้หากมีคนไข้มาตามเขาไปรักษาผู้ป่วย ก็จะพานางไปด้วยทุกครั้งค่อยๆ เรียนรู้กันไป ชายชราตั้งใจสืบทอดความรู้ทั้งหมดที่ตนมีให้กับหลานสาวผู้นี้แล้ว
……….
เรือนสกุลลี่
“เจ้าเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ไปพักเสียเถิด ที่เหลือข้าจัดการเอง” ลี่กังสามีของนางเหมยเอ่ยปากบอกภรรยาที่ง่วนอยู่กับการต้มข้าวให้ตน
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ทำอาหารให้ท่านก่อน อีกพักก็จะเข้าไปดูลูกอีกรอบแล้วค่อยเข้านอนก็ได้”
นางเหมยหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นสามีลุกขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว เขามีไข้กับมีผื่นจางๆ ไม่มีอาการถ่ายท้องบ่อยเหมือนกับบุตรชายคนรองและบุตรสาวคนเล็ก จึงฟื้นตัวได้เร็วกว่า แต่นางก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะหายป่วยได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ซ้ำตื่นขึ้นมาสามีก็หิวโซจนกินข้าวที่เหลือในหม้อจนเกลี้ยง นางจึงมาต้มข้าวเพิ่มให้เขา
“เด็กๆ ก็ดีขึ้นกันแล้วนี่ เจ้าอย่าลืมเอาน้ำให้พวกเขาดื่มให้มากๆ หน่อยตามที่ท่านหมอจางกำชับไว้ ว่าไปแล้วข้าท่านหมอจางก็เก่งนัก ยาชามเดียวข้าถึงกับลุกขึ้นได้ที่ไอเจ็บคอเจ็บหน้าอกก็ดูเหมือนจะเบาลงไปมากอีกด้วย” ลี่กังพยักหน้าหงึกหงัก พลางพลิกแขนสองข้างดูตุ่มแดงบนร่างกายตนที่ยุบตัวเหลือเพียงสีชมพูจางๆ เท่านั้น
“เสี่ยวเป่ากับเสี่ยวเจียก็หยุดถ่ายกันทั้งคู่แล้วเจ้าค่ะ เหลือเพียงแค่พวกเขาอ่อนเพลียมากเท่านั้น ดีเหลือเกินที่ท่านพ่อตัดสินใจให้ข้าออกไปตามท่านหมอจางมา ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงกว่านี้ก็เป็นได้”