ในช่วงฤดูหนาว จางจื้อพยายามสอนให้ถังเยียน ซึ่งคือจางเยียนในเวลานี้ได้ทบทวนตำราเรียนอยู่ในเรือน แต่เท่าที่ชายชราสังเกตได้ หลานชายคนรองนั้นมีความตั้งใจสูง แต่คล้ายว่าหัวเขาจะไม่เหมาะกับการเล่าเรียนเท่าใดนัก แต่เด็กชายกลับไม่เคยงอแงหรือหลบหนีการท่องตำราหรือคัดอักษรที่ตนคอยสอนสั่งเลยสักครั้ง
กลับเป็นจางฮุ่ยหลินเด็กหญิงวัย 6 ขวบ ที่ตนไม่ได้ตั้งใจเข้มงวดกับนางเท่าใด เพราะเห็นว่าเป็นสตรี แต่ฮุ่ยหลินกลับมองปราดเดียวก็จดจำตัวอักษรได้อย่างแม่นยำ จนหลายครั้งพี่รองของนางยังต้องวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากน้องสาว
ส่วนคนที่จางจื้อไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะมีวาสนาได้พบพานในชีวิตนี้ กลับเป็นว่าหลานสาวคนโตจางจื่อรั่ว สาวน้อยวัย 14 ย่าง 15 สนใจเรื่องตำราแพทย์เป็นพิเศษ ซ้ำนางยังรู้หนังสืออีกด้วย ทุกวันหลานสาวก็จะเฝ้าวนเวียนถามคำถามเรื่องสมุนไพรหลายชนิดกับตน และยังจดบันทึกไว้อย่างละเอียดเพื่อทบทวนส่วนตัว
ชายชราไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มานาน เขาเลิกออกไปรับรักษาคนไข้มานานมาแล้ว สองสามีภรรยาปลูกผักเลี้ยงสัตว์อยู่แต่ในเรือน มีบางครั้งที่คนในหมู่บ้านเจ็บไข้ได้ป่วยจึงจะออกไปช่วยเหลือรับค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ตามกำลังของผู้ป่วยเท่านั้น
เวลานี้ได้พูดคุยกับจางจื่อรั่วเรื่องความรู้ที่ตนมี จางจื้อจึงเปิดเผยสั่งสอนนางอย่างไม่ปิดบัง ทั้งยังเริ่มสอนให้นางรู้จักการจับชีพจร และวิธีการฝังเข็มที่ตนชำนาญที่สุด
แต่จางจื่อรั่วนางเพียงต้องการความรู้รอบตัวในยุคนี้มาเสริมความเข้าใจเท่านั้น นางไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องเพราะอย่างไรระบบก็จะส่งยาที่ตรงกับความจำเป็นมาอยู่แล้ว
นางเติบโตอยู่ในโรงพยาบาลแม้จะไม่เคยเรียนวิชาแพทย์แต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นหรือไม่เคยได้ยินวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคทั่วไป จึงคิดว่าหากตนมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรหรือตำราโอสถในยุคนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับการใช้ระบบของนางได้อย่างแนบเนียนเท่านั้น
ผ่านไปราวเดือนเศษ สามพี่น้องและท่านผู้เฒ่าสกุลจางทั้งสองก็ปรับตัวเข้าหากันได้อย่างสมบูรณ์ มีหลายครั้งที่จางเยียนมักจะเผลอตัวหยิบข้าวของแปลกตาหรือแม้แต่ไข่ต้มหนึ่งฟองมาเก็บไว้ในอกเสื้อด้วยความเคยชิน แต่เมื่อถูกพี่ใหญ่ของเขาจับได้ เขาก็เลือกขอให้ท่านย่าช่วยเย็บถุงคลุมมือของตนเองไว้เพื่อไม่ให้หยิบฉวยสิ่งใดได้ง่าย
“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะอาเยียน! นั่นมันอันตรายมากเลยนะรู้ไหม” จางจื่อรั่วหัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นน้องชายวัย 9 ขวบ ใช้ขาเกี่ยวคานไม้บนตัวเรือนห้อยหัวลงมาที่พื้น
“มือข้าไม่ว่างนี่พี่ใหญ่ ข้าเลยต้องฝึกใช้เท้าในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง สนุกดีออก” เด็กชายโยกตัวสองสามที ครู่เดียวก็สามารถทรงตัวขึ้นไปนั่งบนคานได้
“สูงถึงเพียงนั้นเจ้าขึ้นไปได้อย่างไรโดยไม่ใช้มือกัน” เด็กสาวยังตกใจไม่หาย
“เดี๋ยวข้าทำให้ดู”
เด็กชายกระโดดผลุงลงมายืนอยู่กับพื้นอย่างง่ายดาย แล้วเริ่มสาธิตวิธีการของเขา
จางเยียนก้าวถอยหลังไปเพียงครึ่งก้าวจากนั้นก็วิ่งตรงไปที่ผนังเรือน ใช้สองขาวิ่งเอียงๆ ไต่ขึ้นผนังไปอย่างคล่องแคล่ว ใช้ท่อนแขนเกี่ยวกับคานไม้แล้วพลิกตัวครั้งเดียวก็สามารถขึ้นไปนั่งอยู่ข้างบนได้ง่ายง่ายดาย
“ข้าเก่งหรือไม่พี่ใหญ่” เด็กชายตัวน้อยหัวเราะเสียงดังโอ้อวด
“ก..ก..เก่ง..เก่งมาก” จางจื่อรั่วอ้าปากค้าง หวนคิดถึงฟู่เกอที่นางได้พบที่วัดร้าง ดูเหมือนว่าน้องชายของนางน่าจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องการต่อสู้ เขาจัดระเบียบร่างกายได้เป็นอย่างดี กอปรกับได้รับการดูแลอย่างดีจากท่านปู่ท่านย่า จางเยียนจึงแข็งแรงสมบูรณ์ราวกับลูกวัว
“หากเจ้าชอบ เมื่อมีโอกาสข้าจะหาอาจารย์ที่สอนการฝึกฝนการต่อสู้ให้เจ้าดีหรือไม่”
“ได้ขอรับ ข้าชอบ พี่เขยเคยบอกว่าหากไม่ชอบเรียนหนังสือก็ฝึกฝนการต่อสู้ให้เก่งกาจเหนือผู้อื่น ทำเช่นนี้ก็สามารถเป็นขุนนางโดยการแต่งตั้งได้เช่นกัน”
“พี่เขยบอกเจ้า เกาซ่งอวิ้นน่ะหรือคุยกับเจ้า?” จางจื่อรั่วแปลกใจมาก ปกติคนผู้นั้นก็ไม่ได้กลับมาที่เรือนสกุลเกาบ่อยนัก กลับมาแต่ละทีก็มักจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง มีเวลามาพูดคุยกับน้องชายตนตั้งแต่เมื่อใดกัน
“กลางคืนข้ากับน้องเล็กหิวและแอบเข้าไปดูในครัวบ่อยๆ พี่เขยอ่านตำราจนดึกดื่น พอเขาเห็นเราสองคนไปรื้อค้นหาของกินในครัว เขาก็จะเอาขนมมาให้กิน เลยได้นั่งคุยกันหลายครั้งขอรับ”
“เขาเคยถามถึงข้าหรือไม่” จางจื่อรั่วมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับเกาซ่งอวิ้นไม่น้อย แม้ภายหลังเขาจะหักหลังนางได้อย่างเจ็บแสบ แต่นางก็ยังอยากรู้ว่าเขาเคยคิดถึงเรื่องของตนบ้างหรือเปล่า
“ก็มีบ้าง พี่เขยบอกว่าให้พวกเราแอบซ่อนอาหารเอาไว้กินเองบ้าง และถ้าเขาอยู่ในเรือนก็ให้หนีพี่ใหญ่มาขอของกินจากเขาได้ขอรับ” จางเยียนพูดตามความจริงทุกประการ แต่อีกฝ่ายที่ฟังอยู่ คล้ายว่าตนกำลังถูกมีดปักเข้าร่างหลายแผลเลยทีเดียว
“หึ!! ถึงเขาจะรังเกียจข้า แต่อย่างน้อยก็ยังเอ็นดูเจ้าสองคนไม่น้อย เช่นนั้นข้าจะถือเสียว่าเลิกแล้วต่อกันไปก็แล้วกัน ข้าจะไม่ไปคิดถึงเรื่องของเขาอีกต่อไปแล้ว” เด็กสาวเม้มปากแน่น มีทั้งความโกรธ ความน้อยใจ ความไม่ใส่ใจผสมปนเปกันอยู่ในความคิด
แต่ก่อนที่นางจะต้องตกใจไปอีกครั้งเพราะเวลานี้จางเยียนห้อยหัวลงจากเพดานมาอีกรอบแล้ว แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่นางได้ยินเสียงสตรีผู้หนึ่งดังมาจากทางหน้าเรือน เห็นท่านย่ากำลังเดินไปที่ประตู นางจึงละสายตาจากน้องชายเดินตามท่านย่าเฉินไปอีกคน
“เหมยซื่อหรอกหรือ เหตุใดจึงเดินทางฝ่าหิมะมาถึงที่นี่ได้เล่า เข้ามาก่อนเร็ว!”
จางจื่อรั่วยังเดินไปไม่ทันถึงประตูรั้วด้านนอก ก็ได้ยินเสียงท่านย่าของนางทักทายสตรีผู้หนึ่ง ร่างของสตรีผู้นั้นปกคลุมไปด้วยหิมะที่หมวกและไหล่สองข้าง ใบหน้าขาวซีดริมฝีปากคล้ำม่วง จนนางต้องหันหลังกลับเข้าเรือนเพื่อเตรียมหาน้ำอุ่นมาให้สตรีผู้นั้นได้ดื่มเสียก่อน
เหมยซื่อรับน้ำขิงร้อนๆ จากมือของจางจื่อรั่วไปก็ยกขึ้นดื่มขับไล่ความเย็นในร่างกายทันที นางแทบจะแข็งไปทั้งร่างอยู่แล้ว ร้อนใจอยากจะบอกธุระของตนแทบตายก็ไม่อาจข่มริมฝีปากที่สั่นระริกให้เอ่ยคำออกมาได้ พอหมดถ้วยนางก็เริ่มเล่าถึงจุดประสงค์ของนาง
“ท่านหมอจาง ช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ” เหมยซื่อสตรีวัยราว 30 ปีโขกศีรษะให้กับจางจื้อ
นางรู้ดีว่าเวลานี้สภาพอากาศหนาวเย็นเพียงใด จางจื้อก็อายุไม่น้อยแล้ว การออกจากเรือนเพื่อไปรักษาบุตรสาวของตนเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ดีไม่ดีท่านหมอจางอาจป่วยไข้ไปอีกคนก็เป็นได้ แต่สถานการณ์ของบุตรสาวก็ไม่สู้ดีนักนางทนเห็นบุตรสาวต้องทุกข์ทรมาณไม่ไหวเช่นกัน จำต้องเร่งมาหาท่านหมอด้วยตนเอง
“เจ้าลุกขึ้นมาพูดคุยกันดีๆ นางเป็นอะไร มีอาการอย่างไรบ้างเล่า?” จางจื้อไม่คิดปฏิเสธ หากนางเหมยไม่เดือดร้อนจริงๆ คงไม่อดทนเดินมาถึงเรือนตนท่ามกลางหิมะเช่นนี้แน่
“นางมีไข้สูงอยู่หลายวันเจ้าค่ะ เนื้อตัวก็ร้อนราวกับเปลวไฟ สามีข้าต้องช่วยเอาน้ำเย็นมาคอยเช็ดเนื้อตัวให้นางตลอดเวลา แต่พอไข้เริ่มลดลงกลับกลายเป็นว่าทั่วทั้งร่างของนางมีตุ่มแดงขึ้นทั่วตัว เวลานี้ยังถ่ายไม่หยุดอีกด้วย”
จางจื้อขมวดคิ้วครุ่นอยู่ชั่วครู่ เรื่องมีไข้ตัวร้อนในช่วงฤดูหนาวสำหรับเด็กก็เป็นปกติธรรมดา ผื่นแดงที่เกิดขึ้นก็อาจจะแพ้อะไรบางอย่างก็ได้ แต่เด็กกลับมีการถ่ายไม่หยุดเข้าไปอีก ท่านหมอชราเห็นว่าอาการของผู้ป่วยดูเหมือนจะสับสนปนเปกันไปหมด
“ข้าคงต้องไปตรวจอาการนางด้วยตนเองก่อนกระมัง” จางจื้อตัดสินใจในที่สุด
“ท่านปู่ ข้าขอไปกับท่านด้วยนะเจ้าคะ” จางจื่อรั่วมั่นใจในการรักษาของจางจื้อ แต่ท่านปู่ก็อายุมากแล้ว นางเหมยอายุน้อยกว่าท่านปู่ เดินเหินสะดวกรวดเร็วกว่ายังแทบจะแข็งตายอยู่ท่ามกลางหิมะ ตนไปด้วยอย่างน้อยก็มีระบบไว้คอยช่วยเหลือท่านปู่ยามฉุกเฉิน
“ได้ ไปหาหมวกหาเสื้อคลุมใส่ให้หนาๆ หน่อย ให้ท่านย่าเจ้าจุดเตาอุ่นมือ (1) ให้สักหน่อย เราไปด้วยกัน” จางจื้อรู้สึกตื่นเต้นที่สุด เมื่อก่อนตนก็เคยมีจางหย่งบุตรชายคอยเดินตามเช่นนี้ยามออกไปรักษาผู้ป่วย แม้จางจื่อรั่วจะเป็นเด็กหญิง แต่เขาก็ไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายอีกต่อไปแล้ว
(1) เตาอุ่นมือ,โส่วหลู,ซิ่วหลู ส่วนใหญ่จะทำสองชั้น ด้านในมักทำด้วยสำริดสำหรับใส่ถ่าน มีขนาดตั้งแต่เล็กเท่าผลส้มจนถึงผลแตงโม ทำเป็นแบบมีหูหิ้วหรือทรงธรรมดามีฝาปิด ช่วยส่งผ่านความร้อนสร้างความอบอุ่น บางคนก็ซุกใส่เข้าไว้ในแขนเสื้อ เลยเรียกว่าซิ่วหลู หรือเตาแขนเสื้อก็มี ด้านนอกทำจากวัสดุหลากหลาย ลวดลายวิจิตรบรรจงตามแต่ฐานะของผู้ใช้