ตอนที่ 6 : ถอดหน้ากาก(ที่แสนดี)
แกร่กกก....แกร่กกก..
เสียงของท่อนเหล็กสีเงินเงาวับถูกลากมากับพื้นปูนซีเมนจนเกิดเสียงดังกังวานไปทั่วทั้งโกดังโรงไม้เก่าที่สภาพทรุดโทรม กลิ่นอับ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณบ่งบอกว่าที่นี่ล้างมานานหลายปีและใช้เป็นที่ฆาตกรรมอำพราง เสียงฝีเท้าหนักก้าวมาอย่างช้าๆ มองไปยังเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกล
"ยะ อย่า...ผมขอร้อง อย่าเข้ามา" ชายหนุ่มวัยกลางคนที่ถูกมัดมือมัดเท้าไว้กับเก้าอี้ไม้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้อ้อนวอนร้องขอชีวิตเมื่อถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของท่อนเหล็กที่ทำให้หลอนต้องหวาดผวา ใบหน้าไร้ซึ่งรูปเคล้าเดิม เกรอะกรังไปด้วยรอยเลือดที่ถูกทารุณร่างกายมาอย่างหนัก สายตาที่พร่ามัวพยายามมองบุคคลที่เข้ามาใหม่แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะถูกกระทบกระเทือนจนเกือบตาบอดจนเห็นแค่ภาพเลือนราง ร่างกายชายหนุ่มวัยกลางคนสั่นเทาด้วยความกลัวเมื่อเสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
แกร่กกก...แกร่กกก...ตึก ตึก ตึก
"ไว้ชีวิตผมเถอะ...คุณพายุ" ชายผู้น่าสงสารพยายามอ้อนวอนขอร้องอย่างไร้สติ เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยพานทำให้เสียวสันหลังวาบ
"ไว้ชีวิตงั้นเหรอ?" น้ำเสียงเย็นยะเยือกทวนคำพูดของคนตรงหน้า ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มมุมปากที่ได้เห็นสภาพอันน่าเวทนาของพวกที่ชอบทรยศหักหลัง มือหนาใช้ท่อนปลายเหล็กเงาวับเชยคางของคนตรงหน้าขึ้น สายตาคมมองอย่างไร้ความรู้สึกไม่มีแม้แต่รู้สึกสงสารกับสภาพที่ใกล้ตายเต็มที
"ไว้ชีวิตมึงแล้วกูได้อะไรละ ลองบอกให้กูฟังเผื่อกูจะเปลี่ยนใจ จากที่ตั้งใจจะฆ่ามึงวันนี้ อาจยื้อชีวิตมึงไปถึงพรุ่งนี้ก็ได้"
"ผะ ผมจะรับใช้คุณพายุเยี่ยงทาส จะทำตามทุกอย่างที่คุณพายุต้องการครับ จะไม่มีทางลับหลังคุณพายุเป็นครั้งที่สอง โปรดไว้ชีวิตผมด้วยครับ" ชายหนุ่มวัยกลางคนรีบอ้อนวอนขอความเห็นใจด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก หวังว่าเจ้านายหนุ่มจะให้โอกาสและเห็นใจ ถึงแม้จะยืดชีวิตไปอีกหนึ่งวันก็ตาม แต่ไม่มีใครอยากตายกันทั้งนั้น
"ลับหลังครั้งที่สอง...หึ คนอย่างกูไม่เคยมีครั้งที่สอง"
ผั๊วะ!
"อ๊าก..." เสียงร้องความเจ็บปวดดังลั่นไปทั่วบริเวณ
ท่อนเหล็กขนาดพอดีมือฟาดเข้าที่ใบหน้าของชายหนุ่มวัยกลางคนเต็มแรง เขาไม่เคยให้โอกาสใครต่อให้อ้อนวอนร้องขอชีวิตจะเป็นจะตายก็ไม่เคยมีต่อมความรู้สึกที่จะสงสาร แค่อยากฟังคำร้องขอชีวิตวินาทีสุดท้ายเท่านั้น สายตาคมกริบมองเลือดสีแดงสดที่ค่อยๆไหลออกจากหน้าผากของคนที่เขากระทำลงไปอย่างพึงพอใจ
"ไว้ชีวิตผมเถอะ ผมจะไม่มีทางเอาข้อมูลบริษัทไปให้คู่แข่งอีกเด็ดขาด ไว้ชีวิตผมอีกสักครั้ง ขอร้อง…"
"เลือดสีสวยดีนะ กูอยากเห็นมันอีกข้าง"
ผัวะ!
"อึก...โอ๊ย"
เป็นอีกครั้งที่มือหนาจับท่อนเหล็กฟาดเข้าไปที่ขมับอีกด้านที่ยังไม่มีเลือดไหล และไม่นานสิ่งที่เขาต้องการก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเห็นเลือดสีแดงสดไหลอาบหน้า ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มจนเห็นฟันราวกับคนเสียสติ
"อึก..." ชายหนุ่มวัยกลางคนแทบไม่มีสติ แสงสว่างเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนรู้สึกพะอืดพะอม นัยส์ตาแดงก่ำที่ถูกทรมานอย่างเลือดเย็น ยิ่งเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายนั้นยิ่งหวาดผวา
"พวกมึงชอบเห็นกูยิ้มไม่ใช่เหรอ ทำไมตัวสั่นแบบนั้นละ หรือรู้ว่าถ้ากูฟาดมึงอีกครั้งแล้วมึงจะ....ตาย"
"ไว้ ชี วิต ผะ ผม เถอะ"
"ถือเป็นคำสั่งลาก่อนตาย...หวังว่าสายตาที่แค้นกูจะทำให้มึงกลับมาแก้แค้นกูในชาติหน้านะ แต่เผอิญชาตินี้กูแก้แค้นมึงก่อน"
ผัวะ ผัวะ ผลัก
ท่อนเหล็กกระหน่ำฟาดไปที่ชายหนุ่มวัยกลางคนโดยไม่คิดที่จะให้มีชีวิตอยู่ต่อไปท่ามกลางสายตาของลูกน้องนับสิบที่ยืนดูราวกับมันเป็นเรื่องปกติ ใบหน้าคมคายเรียบนิ่ง สายตาคมเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อนึกถึงเรื่องราวของเศษขยะพวกนี้ที่ทำกับเขาไว้เจ็บแสบ
ผัวะ...
แรงฟาดสุดท้ายอัดไปเต็มแรงจนท้ายที่สุดเก้าอี้ที่ชายหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่ล้มไปกองกับพื้นพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณ เลือดสีแดงสดไหลอาบใบหน้าและลำตัว กำลังไหลนองไปบนพื้นปูนซีเมนต์ที่มีร่องรอยคราบเลือดของคนเก่าติดอยู่
เพล้ง...
เสียงแท่งเหล็กถูกปล่อยจากมือให้กระทบกับพื้นจนเกิดเสียง มือหนาแกะถุงมือหนังสีดำออกและโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี สายตาคมกริบจับจ้องคนตรงหน้าที่เหลือแต่ร่างกายไร้ซึ่งวิญญาณ
"ขยะอย่างมึงเก็บไว้ก็ไร้ค่า คำพูดมึงดูน่าสงสารแต่สายตามึงกำลังหาทางเอาคืนกูต่างหากล่ะ ก็ไม่จำเป็นที่กูจะไว้ชีวิตคนอย่างมึง" น้ำเสียงเข้มพูดขึ้น เพราะชายตรงหน้าได้เอาต้นแบบของแฟชั่นในคอลเลคชั่นนี้ไปให้กับคู่แข่ง และได้เงินตอบแทนมาหลายล้าน เขาปล่อยให้มันได้เสวยสุขกับเงินหลายอาทิตย์จนท้ายที่สุดจุดจบของหนูท่อในน้ำครำก็เป็นอย่างที่เห็น แต่ถึงจะถูกเอางานไปขายให้กับคนอื่นแต่ก็ใช่ว่าคนอย่างพายุจะสิ้นไร้ไม้ต่อ เพราะรู้ดีว่าไฟล์ฉบับนั้นเป็นเพียงที่เขาใช้ร่างเพื่อล่อเหยื่อเท่านั้น ไม่ใช่งานจริงที่เปิดตัวไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของคนที่เดินมาทางด้านหลังทำให้พายุปรายตามองเพียงนิด ต่อให้ไม่หันไปมองก็รู้ว่าเป็นลูกน้องคนสนิท
"รู้หรือยังว่ามันเอาไฟล์งานไปขายให้บริษัทไหน" พายุพูดขึ้นหลังจากรับรู้ได้ว่าลูกน้องคนสนิทมายืนอยู่ด้านหลัง
"บริษัทคุณเซญ่าครับ วันงานมีคนของเราเห็นเธอปลอมตัวเข้ามาดูแฟชั่นโชว์แต่ใช้ชื่อของเลขาของเธอในการเข้ามา และดูเหมือนเธอจะหงุดหงิดออกไปเมื่อเห็นว่าคุณพายุทำคอลเลคชั่นใหม่สวยกว่าต้นแบบที่ไอ้เวรนี่เอาไปขายครับ"ดนัยรายงานให้เจ้านายหนุ่มฟังอย่างละเอียด
"ส่งภาพชิ้นโบว์แดงไปเตือนสักหน่อย...แล้วจัดการศพมันให้เรียบร้อย กลิ่นเลือดมันคาวรู้ใช่ไหมว่าตำรวจจมูกมันเหมือนหมา อย่าให้ข่าวเล็ดลอดไป"
"ครับคุณพายุ" ดนัยก้มหัวให้กับเจ้านายหนุ่มและรีบส่งสัญญาณไปที่ลูกน้องชายฉกรรจ์ให้เคลียร์กับร่างชายหนุ่มวัยกลางคนที่ไร้วิญญาณ
"รู้สึกอยากขอบคุณพนักงานที่จงรักภักดีกับกูจัง" มือหนาหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูและพิมพ์ข้อความที่ซึ้งกินใจส่งไปในไลน์กลุ่มของบริษัท
"จงรักภักดีกับฉันไว้เยอะๆละ ถ้าหักหลังกันเมื่อไหร่จุดจบของทุกคนก็จะเป็นแบบนี้" สายตาคมมองข้อความที่มีพนักงานสาวคนหนึ่งตอบกลับมา ราวกับเขาเป็นหัวเรือใหญ่ แต่คำพูดของเธอไม่ได้รู้สึกตื้นตันใจแม้แต่น้อย ก่อนจะกดปิดหน้าจอและเดินออกจากโรงไม้ร้างในเช้าตรู่ของวันใหม่
ทางด้านของแก้มใส
ติ้ด ติ้ด ติ้ด...
เสียงนาฬิกาปลุกดังกังวานไปทั่วห้องนอน ปลุกให้คนที่กำลังฝันหวานรู้สึกตัวตื่น ใบหน้าหวานแสดงความหงุดหงิดออกมาโดยไม่รู้ตัว และรีบควานหาโทรศัพท์เจ้ากรรมทั้งที่เปลือกตายังปิดอยู่
"อื้อ..." เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆเปิดออก พลางถอนหายใจออกมาเบาๆหลังจากกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกทั้งที่วันนี้ได้หยุดพิเศษแต่กลับลืมปิดนาฬิกาปลุก
"ดับฝันกันชัดๆ อุตส่าห์ฝันหวานแล้วเชียว"
ดวงตากลมโตมองไปรอบห้องนอนสีชมพูหวานแหววพลางนึกถึงเรื่องที่ฝันก็อดที่จะระบายยิ้มออกมาไม่ได้ ต่อให้ถูกนาฬิกาปลุกดับฝันแต่ก็เป็นการฝันที่ทำให้หัวใจดวงน้อยกระชุ่มกระชวยและเต้นระรัวเมื่อนึกถึงริมฝีปากหยักได้รูปที่เข้ามาประทับที่ริมฝีปากบางของตัวเอง นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากตัวเองเบาๆราวกับมันเป็นเรื่องจริง สายตาคมคู่นั้นในตอนที่บอกรักยิ่งแสดงถึงความอบอุ่นและเป็นการบอกรักที่ออกมาจากหัวใจ ใบหน้าหวานเปื้อนรอยยิ้มทั้งที่พึ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง
หลังจากที่ฉันกับเพื่อนพากันออกจากผับนั้นก็แยกย้ายกันกลับทันที ส่วนตัวฉันไม่ได้มีอาการมึนเมาและยังมีสติมากพอที่จะขับรถกลับบ้านได้ ยกเว้นแค่เฟิร์นเพื่อนสาวเบาหวิวที่เดินไม่ตรงต้องให้พี่ฝนไปส่ง โชคดีที่ระหว่างทางไม่มีด่านตรวจแอลกอฮอล์ทำให้ฉันกลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัยและได้กลับมานอนเตียงนุ่มๆแทนการนอนในห้องคุมขัง แต่กว่าจะกลับถึงบ้านก็ตีสามกว่าแล้ว ไหนจะล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำทำภารกิจส่วนตัวก็เกือบตีสี่ แต่เป็นเพราะฝันหวานทำให้ฉันไม่มีอาการงัวเงียเลย ยังคงนึกถึงแต่ใบหน้าคมเข้มของเขา ทั้งที่ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ทำงานที่นี่มาไม่เคยฝันถึงเจ้านายหนุ่มเลย
"สงสัยเป็นเพราะตอนอยู่ที่ผับนึกถึงเขาเลยเก็บมาฝัน แล้วถ้าหลับต่อจะฝันต่ออีกไหม ถ้าเกิดว่าฝันถึงวันหย่าละ...ให้ตายเถอะ นี่ฉันเพ้ออะไรเนี่ย" ฉันถึงกับบ่นตัวเอง คิดเองเออเองอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า
"เราปลื้มเขาเพราะทำงานเก่งแค่นั้น...ไม่คิดเกินเลย จำไว้สิแก้มใส ไม่มีทางไปถึงขั้นนั้นได้แน่นอน"
ติ้ง ติ้ง...
เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขึ้นในช่วงเช้าตรู่เรียกสติให้คนที่กำลังคิดเลอะเลือนได้สติ มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและเห็นว่าใครส่งมาก็ถึงกับกลิ้งตัวไปมาบนที่นอน ไม่หลงเหลือแม้แต่สติ ถึงแม้ว่าจะส่งเข้าไลน์กลุ่มของพนักงานก็ตาม แต่อย่างน้อยทั้งในฝันและชีวิตจริงก็ยังมีผู้ชายคนนี้อยู่ด้วยตลอด นิ้วเรียวยาวกดเข้าไปอ่านข้อความแจ้งเตือนกลุ่มไลน์จากบอสสุดหล่อ
บอสพายุ : ขอบคุณทุกคนที่ลงทุนลงแรงทำให้ยอดจองคอลเลคชั่นใหม่ต้องสั่งผลิตเพิ่มทั่วโลก เอาไว้ผมจะพาทุกคนไปทานข้าวเป็นการตอบแทนนะครับ อาจจะมาบอกเช้าไปเพราะผมรู้ว่าเมื่อคืนพวกคุณคงไปสนุกกันมาแต่ผมไม่สามารถรอเวลาให้ผ่านไปได้เพราะพวกคุณคือคนสำคัญ พวกคุณเป็นเหมือนครอบครัวของผม ผมคงขาดพวกคุณไม่ได้ ขอบคุณที่ลงแรงช่วยกันจนประสบความสำเร็จนะครับ ปล.วันนี้พักผ่อนร่างกายให้เต็มที่นะครับ"
"ให้ตายเถอะ แสนดีที่สุด ยังรู้อีกว่าพวกเราไปเที่ยวกันมาใส่ใจลูกน้องมาก นอกจากฝันหวานแล้วยังได้อ่านประโยคหวานจากผู้ชายในฝันอีก ในฝันแก้มกับบอสก็กำลังเป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ" อาการแบบนี้ฉันไม่เคยแสดงให้ใครเห็นเด็ดขาด แค่ปลื้มอยู่ในใจและค่อยมาระบายในห้องนอนเท่านั้น ไม่งั้นคงโดนแซวจนบอสรับรู้ และถ้าเขารับรู้ฉันคงไม่กล้าสู้หน้าแน่นอน
แก้มใส : เพราะมีกัปตันเรือที่ดี ทำให้ลูกเรืออย่างพวกเราช่วยกันพาเรือลำใหญ่ไปจนถึงจุดหมายปลายทางค่ะ พวกเราจะทำงานอย่างเต็มที่ให้บอสภูมิใจที่เราได้เป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ
ฉันยังคงอ่านข้อความของเจ้านายหนุ่มวนไปวนมาถึงแม้เขาจะไม่ตอบอะไรกลับมาก็ตาม ยิ่งคำว่าครอบครัวทำให้ฉันเพ้อฝันเตลิดไปไกลจนกัดผ้าห่มเพื่อระบายความเขิน
"ไหนๆก็ฝันมาซะขนาดนี้แล้ว ฉันขอมโนไปหนึ่งวันเต็มๆเลยละกัน พรุ่งนี้ไปทำงานค่อยดึงสติกลับมา"