“เดี๋ยวไปดูในนั้นแป๊บนะ” ทับทิมชี้นิ้วไปยังประตูบานหนึ่งซึ่งเปิดแง้มไว้นิดหน่อย ฉันจำได้ว่ามันเป็นห้องแฝด และประตูบานนั้นมีไว้กั้นในกรณีที่ไม่ได้ใช้งาน
“อือ เห็นท่าไม่ดีรีบออกมานะ” ฉันบอกอย่างเป็นห่วงแล้วหันกลับมา
เพียงไม่นานก็กวาดสายตาไปรอบห้องอีกครั้งหนึ่ง ไม่สนใจแล้วว่าพี่คิมจะเป็นตายร้ายดียังไง ขอแค่ได้งานกลับมาอยู่ในมือก็พอ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันจึงถือวิสาสะเดินไปเปิดลิ้นชักข้างเตียง ซึ่งเป็นจุดที่คาดว่าน่าจะมีของชิ้นเล็กชิ้นน้อยเก็บไว้ แอบหวังอยู่เหมือนกันว่าพี่คิมจะเอามันมาไว้ในนี้
ทว่า...ฉันกลับเจออย่างอื่นเข้าซะก่อน
เป็นรูปภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยมาก แซ่บมาก เซ็กซี่มาก และฉันก็รู้จักเธอคนนี้เป็นอย่างดี
พี่ลูกพลัม...แฟนพี่ชายฉันเอง
จริงสิ พี่คิมน่ะ...
“อาย ทำอะไร”
เฮือก...
ฉันชะงัก ปลายนิ้วที่กำลังจะสัมผัสรูปใบนั้นถึงกับแข็งเกร็งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากเบื้องหลัง พร้อมกันนั้นลมหายใจร้อนระอุเจือกลิ่นแอลกอฮอล์ยังเป่าระเหนือศีรษะฉันในระยะเผาขนอีกด้วย
“นะ หนูมาหาแฟลชไดร์ฟ...” คำตอบที่ฉันให้ไปกระท่อนกระแท่นจนจับใจความแทบไม่ได้
ก็เล่นมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้ เป็นใครก็ต้องตกใจสิ!
“แต่เมื่อกี้ไม่ใช่” พี่คิมคงเห็นตอนที่ฉันกำลังจะหยิบรูปขึ้นมาแน่ๆ ถึงได้พูดแบบนั้น “พี่ไม่ชอบเด็กไร้มารยาท”
สุ้มเสียงอันตรายในระยะใกล้ทำให้ฉันเผลอหดคอตามสัญชาตญาณ ทั้งๆ ที่หันหลังให้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ทำไมนะ...ทำไมฉันถึงสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ใกล้มากจนแทบจะสิงร่างกันได้อยู่แล้ว
“ก็พี่คิมหายไปนานเองทำไมเล่า หนูรอนานแล้ว” ฉันบ่นปากยื่นปากยาวในน้ำเสียงที่เบามากจนตัวเองยังแทบไม่ได้ยิน
ทำเป็นพูดว่าไม่ชอบเด็กไร้มารยาท แล้วที่ทิ้งฉันไว้เพียงลำพังนี่มันดีกว่าตรงไหน
ไม่ด่าว่า ‘ไอ้ชั่ว’ ก็บุญเท่าไหร่แล้ว!
“บ่นอะไร” พี่คิมถาม
และคำถามนั้นมาพร้อมมือหนาซึ่งจับฉันพลิกกลับไปเผชิญหน้าอย่างรวดเร็วและง่ายดาย รู้ตัวอีกที...ก็พบกับร่างสูงที่ยืนอยู่อย่างใกล้ชิดตรงหน้าแล้ว
จากตอนแรกที่ตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหิน พอเจอสายตาลึกลับซึ่งมาพร้อมกลิ่นแอลกอฮอล์ ร่างกายก็แปรสภาพมาเป็นใบไม้ต้องลมทันที
เย็นไว้ไอ้อาย เย็นไว้...
ฉันบอกตัวเองในขณะที่สถานการณ์เริ่มอันตรายขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะหาทางหนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่พี่คิมเอามือข้างหนึ่งเท้าไว้กับลิ้นชัก ส่วนอีกมือเชยปลายคางฉัน...
“ยะ อย่ามาแกล้งหนูนะ ไม่งั้นหนูกระโดดเตะก้านคอพี่จริงๆ ด้วย!”
ทั้งๆ ที่กลัวจนสั่นไปทั้งตัว แต่ปากก็ไม่วายส่งคำขู่ที่คิดว่าเลือดเย็น (?) ที่สุดออกไป
“หนูไม่กล้ากับพี่หรอกครับ” นิ้วโป้งของพี่คิมเพิ่มแรงบริเวณปลายคางกว่าเดิมเล็กน้อย และนั่นเหมือนเป็นการบังคับให้ฉันเขยิบเข้าไปใกล้กรายๆ
ฉันทัดทานไม่ได้จึงถลาเข้าไปจนกระทั่งปลายจมูกเราชนกัน กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างสูงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะมึนเมาไปพร้อมๆ กับเขาเลย...ไม่แปลกใจว่าทำไมพี่คิมถึงดูกรึ่มๆ ขนาดนี้
กลิ่นคล้ายเหล้าแรงๆ ที่พ่อเคยนั่งกินกับพี่แอลตอนอยู่บ้านไม่มีผิด
“หนูกล้า...” ฉันเถียงอย่างโง่งมทั้งที่รู้ว่าไม่มีปัญญาแม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วนบนตัวเขา “แต่...วันนี้หนูจะปล่อยไปก่อนก็ได้ถ้าพี่คิมเอาแฟลชไดร์ฟมาคืนหนูดีๆ”
“ได้” พี่คิมตอบรับอย่างว่าง่ายฉันรู้สึกแปลกใจ
แต่ความแปลกใจนั้นก็ถูกทุบจนแตกกระจายเมื่อใบหน้าหล่อร้ายเป็นฝ่ายเขยิบเข้ามาใกล้ซะเองจนฉันชะงัก และหัวใจที่เดิมทำงานหนักหน่วงอยู่แล้วก็แทบระเบิดเมื่อกลีบปากชุ่มชื่นตรงมาสัมผัสที่ซอกคอด้านซ้ายของฉันอย่างดุเดือดและแนบแน่นเป็นที่สุด!
เสียงดูดดึงของผิวหนังทำให้สมองฉันขาวโพลนไปชั่วขณะ ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างจิกม้วนกับพรมโดยอัตโนมัติเมื่อความร้อนที่คล้ายกับจะแผดเผากันให้มอดไหม้ซึมเข้ามาถึงความรู้สึกฉัน
“พะ พี่คิม...”
สมองสั่งให้ฉันผลักเขาออกไป แต่กว่าร่างกายจะเคลื่อนไหวไปตามคำสั่งของสมอง พี่คิมก็ฝากรอยไว้ที่บริเวณซอกคอฉันซะแล้ว
และแล้วเขาก็ผละริมฝีปากออกไป ก่อนแฟลชไดร์ฟจะถูกหย่อนใส่กระเป๋าเสื้อซึ่งอยู่ระดับอกฉันพอดิบพอดีโดยไม่มีวลีใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินอีก วูบหนึ่งรับรู้ได้ว่าปลายนิ้วเขาเฉียดส่วนโค้งนูนของฉันไปอย่างหมิ่นเหม่ “ทะ ทำไมต้องทำกับหนูแบบนี้ด้วย!”
ฉันถามหลังจากที่เขาถอยออกไปแล้วประมาณสองก้าว
พี่คิมดูดคอฉันเลยนะ มั่นใจว่าต้องมีรอยแน่ๆ
ไม่โอเคเลย แกล้งรุนแรงเกินไปหรือเปล่า
“พี่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย” คำบอกกล่าวนั้นทำให้สมองฉันตื๊อกว่าเดิม
แต่ถ้าจะให้คิดแบบคนโง่ล่ะก็ ฉันว่านะ พี่คิมคงกำลังปั่นประสาทพี่แอลเล่นแน่ๆ
รอยที่คอหนูน่ะ ถ้าปกปิดไม่ดี ถ้าพี่แอลเห็นและรู้ว่าใครเป็นคนทำคงจบเห่อย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะรู้ว่าหนูไม่กล้าต่อกร ถึงได้กลั่นแกล้งกันอย่างร้ายกาจแบบนี้สินะ
ไม่น่าเลย
ถ้ารู้ว่าเขาคือสิ่งอันตรายที่ไม่ควรย่างกรายเข้าไปใกล้ตั้งแต่แรก ฉันคงแฮปปี้กับการชีวิตโดยไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังแบบนี้
ดูสิ แค่วันเดียว พี่คิมกลับมาหาแค่วันเดียวเท่านั้น หัวใจฉันก็พังไปเกือบครึ่งดวงแล้ว