บทที่3.1

1455 คำ
Kim Describe. “คอน้องเขาช้ำเลยนะมึง...” คล้อยหลังอายและเพื่อนของเธอประมาณห้านาที ไอ้ดิวเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหาเพื่อเปิดประเด็นเรื่องนี้ ส่วนผมซึ่งยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงห้องทำเพียงมองมันอย่างเฉยชา ช้ำเหรอ ก็ตั้งใจทำให้ช้ำ “...” “ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ” เมื่อผมเอาแต่เงียบ ไอ้ดิวที่สอดรู้สอดเห็นจนผิดปกติก็ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เหมือนอยากได้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องเด็กผู้หญิงที่ชื่ออาย ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และจะไม่เล่า ไม่จำเป็น ไม่สำคัญ “แล้วจะให้กูพูดอะไร?” ผมพ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วหันไปถามหนึ่งในเพื่อนสนิท วินาทีนั้นจึงพบกับแววตาของไอ้ดิวที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ไม่แปลกใจที่มันจะสงสัย เพราะแม้แต่เรื่องของผู้หญิงที่ผมเคยรัก มันเองก็ยังไม่รู้มาก่อน ทั้งตอนที่เริ่มรัก ทั้งตอนที่สมหวัง แม้กระทั่งวันที่หัวใจผมแตกสลาย “ก็มึงไม่เล่าอะไรให้กูฟังเลย กูคงตรัสรู้มั้งไอ้เหี้ย” คำพูดนั้นเจือความน้อยอกน้อยใจพอสมควร แต่ขณะเดียวกันก็มีความประชดประชันแฝงไว้ประมาณหนึ่ง “ไม่มีอะไรให้เล่า” ผมตอบตามที่คิด “ตามที่เห็น มึงอยากเข้าใจในทิศทางไหนก็เรื่องของมึง” “หวังว่ามึงคงไม่ได้เอาน้องเขามา 'ปู้ยี้ปูยำเล่นแล้วโยนทิ้งขยะ' นะ” ไอ้ดิวเป็นคนมีเซ้นส์ในเรื่องทำนองนี้ และเรื่องนี้...คิดว่าจริงหรือไม่จริง ก็คอยดูเอาในอนาคตแล้วกัน “...” ผมไม่ได้ให้คำตอบหรือทิ้งร่องรอยอะไรให้มันได้สันนิษฐานต่อ “ไม่เอาก็ให้กูนะ” คำพูดต่อมาของไอ้ดิวเหมือนตัวกระตุ้นชั้นดี รู้ตัวอีกทีสมองก็ออกคำสั่งให้ผมเคลื่อนสายตากลับไปมอง และนั่นทำให้มันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนสงสัยว่า ‘ตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?’ ไม่ผิดหรอก แต่ไม่ให้ จะจริงจังหรือไม่จริงจัง จะรักหรือไม่รัก ถ้าผมเลือกแล้ว ใครก็มาเอาไปไม่ได้ โดยเฉพาะเด็กที่สดใสและเต็มไปด้วยพลังด้านบวกคนนั้น “...” ผมยังคงมองมันอยู่ มองอยู่นานจนมันต้องเป็นฝ่ายเคลื่อนสายตาไปทางอื่นซะเอง “กูล้อเล่น” โทนเสียงที่คล้ายกับจะจริงจังในก่อนหน้านี้จางหายไป และกลับมามีความขี้เล่นกวนประสาทเหมือนเดิม “ไม่มีใครกล้ายุ่งกับของของมึงหรอก” “ดี” ผมลากสายตากลับมาและมองสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างรุนแรง หากกำลังตั้งคำถามว่าคิดจะทำอะไร ผมยังไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้ แต่ถ้าถามว่าทำไปทำไม ง่ายๆ เลย... สะใจ End Describe. หลายวันผ่านไป นี่ถือว่าเป็นการป่วยที่ยาวนานที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะโดยปกติเวลาฉันไม่สบาย อย่างมากแค่สองถึงสามวันก็หาย แต่รอบนี้...ปาไปห้าวันเข้าให้แล้ว ยังแสบคอและไอค่อกแค่กอยู่เลย โชคดีหน่อยที่เทอมนี้มีเรียนแค่สามวัน ฉันเลยมีเวลาพักผ่อนพอสมควร แต่ในความโชคดีก็แฝงเรื่องน่าหงุดหงิดไว้เยอะเหมือนกัน อย่างเช่น...งานที่อาจารย์สั่ง ให้เยอะเหมือนนักศึกษาหยุดเรียนสามปี งงไปหมด แต่เอาเถอะ บ่นออดๆ แอดๆ ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ยังไงฉันก็มีหน้าที่เรียนหนังสือและทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังขี้เกียจ โตไปคงทำอะไรเองไม่ได้ ครืดๆ การสั่นเตือนของโทรศัพท์มือถือซึ่งวางไว้บนโต๊ะทรงเตี้ยด้านหน้าทำให้ฉันที่กำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ บนโซฟาต้องลากสายตากลับไปมอง แสงสว่างวาบที่ปรากฏบนหน้าจอเพียงไม่กี่วินาทีทำให้ฉันเห็นข้อความสั้นๆ จากใครบางคน... ฉันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนสมองจะออกคำสั่งให้เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา และเมื่อเข้าไปอ่านข้อความนั้นที่แจ้งเตือนผ่านแชตไลน์ หัวใจที่เต้นอย่างปกติในทีแรกก็เปลี่ยนมาสั่นโครมครามจนแทบกระดอนออกมากองด้านนอก K.KIM :: พี่อยู่หน้าคอนโดฯ สรรพนามแบบนั้น ชื่อไลน์แบบนั้น...ถึงจะตั้งโปรไฟล์เป็นภาพพื้นสีดำดาร์กๆ แต่สัญชาตญาณกลับกระซิบย้ำข้างหูว่านี่เป็นคนเดียวกันกับที่ฉันคิดแน่ๆ พี่คิมคนเลว! ตั้งแต่รู้จักกันมา เราไม่เคยติดต่อกันผ่านโซเชียลเลยสักครั้ง จะมีก็แต่เฟซบุ๊กของเขาที่ปล่อยร้างไว้นานเป็นปีแล้ว ส่วนเบอร์มือถือเขา...ฉันมั่นใจนะว่าตัวเองไม่มี และเขาเองก็คงไม่มีของฉันด้วยเหมือนกัน แล้วทำไม... “อะไรวะเนี่ย” ฉันมองข้อความดังกล่าวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตื่นตระหนก ทั้งกังวล ทั้งโกรธ แต่ที่มากกว่าอะไรทั้งหมดคือความสงสัยซึ่งพุ่งโจมตีกันอย่างจังในคราวนี้ แอดไลน์หากันแบบนี้ อยากรู้จังว่าพี่คิมไปเอาเบอร์ฉันมาจากไหน? ซ้ำร้ายกว่านั้นคือ...เขาอยู่หน้าคอนโดฯ ฉันแล้วด้วย! ยังไม่ลืมหรอกนะ ไม่เคยลืมว่าเขาทำอะไรไว้กับฉันบ้าง ทั้งเหตุการณ์ในเดือนก่อน และหลายวันที่ผ่านมา... มันเพราะเขาทั้งนั้นที่ทำให้ฉันยังป่วยกระปอดกระแปดแบบนี้ เขาทำให้ฉันเกือบไม่ได้นอนเพราะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งปั่นงานจนเกือบเช้าทั้งที่ตอนนั้นฉันไม่สบายจนแทบไม่มีแรง ไหนจะต้องเสียเวลากับการเอารองพื้นกลบรอยช้ำบนคอที่เขาสร้างไว้ด้วย พี่คิมทำให้การใช้ชีวิตของฉันยากขึ้นกว่าเดิมมาก และฉันได้แต่ตั้งคำถามว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม เพราะเกลียดพี่แอลเหรอ? เหตุผลมันแค่นั้นใช่ไหม เขาถึงได้เลือกใช้ฉันเป็นเหยื่อโง่ๆ ที่อยากจะทำอะไรก็ได้แบบนี้ Me :: หนูจะนอนแล้วค่ะ หลังจากใช้เวลาขบคิดอยู่หลายนาที ในที่สุดฉันก็ยอมพิมพ์ตอบ เป็นประโยคที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่อยากลงไปหา หนูเข็ดกับพี่แล้ว ไม่ยอมแล้วนะ K.KIM :: ปฏิเสธพี่ใช่ไหม? ข้อความต่อมาของพี่คิมก็ทำให้ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ K.KIM :: พี่ให้เวลาหนู 5 นาที “เป็นพ่ออ่อมาขู่...?” ฉันมองข้อความนั้นของพี่คิมแล้วเอ่ยถามอย่างเอาเรื่อง ถ้าเป็นได้ก็อยากจะต่อยหน้าเขาให้ยุบไปครึ่งซีก แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง...ฉันทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น ขี้ขลาดตาขาวอย่างหนู ให้มองหน้าพี่คิมตรงๆ ยังยากเลย นับประสาอะไรกับการสร้องรอยแผลไว้บนหน้าหล่อขั้นเทพของเขา ฉันเม้มริมฝีปากขณะจดจ้องเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งผ่านไปได้สองนาทีแล้วนับตั้งแต่พี่คิมส่งข้อความมา เอาไงดีๆๆ ฉันถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นกระทั่งตัดสินใจได้แล้วว่าจะเพิกเฉยต่อการมาของเขา อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นคอนโดฯ ฉัน ระบบรักษาความปลอดก็ไม่ได้ไก่กาอาราเร่ ทำไมจะต้องไปกลัวด้วย... ไว้ให้เขาขึ้นมาได้ก่อนค่อยไปกังวล แน่นอนว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นนั้นแทบติดลบ หึๆๆๆ อย่ามาแหยมกับหนูนะบอกก่อน! สิ้นความคิด ฉันจึงโยนโทรศัพท์ลงบนโซฟาอีกฝั่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนตีพุงดูทีวีอย่างสบายอกสบายใจ จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ความง่วงงุนที่คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ก็ทำให้ฉันเผลอหลับในที่สุด... ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหนกระทั่งได้ยินเสียงราวกับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้อง ซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำในเมื่อฉันอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เสียงนั้นทำให้ฉันรู้สึกตัวตื่น หากแต่สองตายังคงปิดสนิท อาการขวัญหนีดีฝ่อที่อัดแน่นอยู่กลางอกส่งผลต่อระบบประสาทและทุกส่วนของร่างกาย แม้ความสงสัยจะมีมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ความกลัวก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันถึงทำให้ฉันนอนตัวแข็งทื่อบนโซฟาเหมือนเดิม ผีหรือเปล่านะ หรือโจร... ฉันคิดไปสารพัดสารเพ ในใจก็นึกถึงบทสวดต่างๆ ที่พอจะจำได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม