Kim Describe.
“คอน้องเขาช้ำเลยนะมึง...”
คล้อยหลังอายและเพื่อนของเธอประมาณห้านาที ไอ้ดิวเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหาเพื่อเปิดประเด็นเรื่องนี้ ส่วนผมซึ่งยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงห้องทำเพียงมองมันอย่างเฉยชา
ช้ำเหรอ ก็ตั้งใจทำให้ช้ำ
“...”
“ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ” เมื่อผมเอาแต่เงียบ ไอ้ดิวที่สอดรู้สอดเห็นจนผิดปกติก็ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เหมือนอยากได้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
เรื่องเด็กผู้หญิงที่ชื่ออาย
ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และจะไม่เล่า ไม่จำเป็น ไม่สำคัญ
“แล้วจะให้กูพูดอะไร?” ผมพ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วหันไปถามหนึ่งในเพื่อนสนิท วินาทีนั้นจึงพบกับแววตาของไอ้ดิวที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ไม่แปลกใจที่มันจะสงสัย เพราะแม้แต่เรื่องของผู้หญิงที่ผมเคยรัก มันเองก็ยังไม่รู้มาก่อน
ทั้งตอนที่เริ่มรัก
ทั้งตอนที่สมหวัง
แม้กระทั่งวันที่หัวใจผมแตกสลาย
“ก็มึงไม่เล่าอะไรให้กูฟังเลย กูคงตรัสรู้มั้งไอ้เหี้ย” คำพูดนั้นเจือความน้อยอกน้อยใจพอสมควร แต่ขณะเดียวกันก็มีความประชดประชันแฝงไว้ประมาณหนึ่ง
“ไม่มีอะไรให้เล่า” ผมตอบตามที่คิด “ตามที่เห็น มึงอยากเข้าใจในทิศทางไหนก็เรื่องของมึง”
“หวังว่ามึงคงไม่ได้เอาน้องเขามา 'ปู้ยี้ปูยำเล่นแล้วโยนทิ้งขยะ' นะ”
ไอ้ดิวเป็นคนมีเซ้นส์ในเรื่องทำนองนี้ และเรื่องนี้...คิดว่าจริงหรือไม่จริง ก็คอยดูเอาในอนาคตแล้วกัน
“...” ผมไม่ได้ให้คำตอบหรือทิ้งร่องรอยอะไรให้มันได้สันนิษฐานต่อ
“ไม่เอาก็ให้กูนะ” คำพูดต่อมาของไอ้ดิวเหมือนตัวกระตุ้นชั้นดี รู้ตัวอีกทีสมองก็ออกคำสั่งให้ผมเคลื่อนสายตากลับไปมอง และนั่นทำให้มันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนสงสัยว่า ‘ตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?’
ไม่ผิดหรอก แต่ไม่ให้
จะจริงจังหรือไม่จริงจัง จะรักหรือไม่รัก ถ้าผมเลือกแล้ว ใครก็มาเอาไปไม่ได้
โดยเฉพาะเด็กที่สดใสและเต็มไปด้วยพลังด้านบวกคนนั้น
“...” ผมยังคงมองมันอยู่ มองอยู่นานจนมันต้องเป็นฝ่ายเคลื่อนสายตาไปทางอื่นซะเอง
“กูล้อเล่น” โทนเสียงที่คล้ายกับจะจริงจังในก่อนหน้านี้จางหายไป และกลับมามีความขี้เล่นกวนประสาทเหมือนเดิม “ไม่มีใครกล้ายุ่งกับของของมึงหรอก”
“ดี” ผมลากสายตากลับมาและมองสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างรุนแรง
หากกำลังตั้งคำถามว่าคิดจะทำอะไร ผมยังไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้
แต่ถ้าถามว่าทำไปทำไม ง่ายๆ เลย...
สะใจ
End Describe.
หลายวันผ่านไป
นี่ถือว่าเป็นการป่วยที่ยาวนานที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะโดยปกติเวลาฉันไม่สบาย อย่างมากแค่สองถึงสามวันก็หาย แต่รอบนี้...ปาไปห้าวันเข้าให้แล้ว ยังแสบคอและไอค่อกแค่กอยู่เลย
โชคดีหน่อยที่เทอมนี้มีเรียนแค่สามวัน ฉันเลยมีเวลาพักผ่อนพอสมควร แต่ในความโชคดีก็แฝงเรื่องน่าหงุดหงิดไว้เยอะเหมือนกัน
อย่างเช่น...งานที่อาจารย์สั่ง
ให้เยอะเหมือนนักศึกษาหยุดเรียนสามปี งงไปหมด
แต่เอาเถอะ บ่นออดๆ แอดๆ ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
ยังไงฉันก็มีหน้าที่เรียนหนังสือและทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังขี้เกียจ โตไปคงทำอะไรเองไม่ได้
ครืดๆ
การสั่นเตือนของโทรศัพท์มือถือซึ่งวางไว้บนโต๊ะทรงเตี้ยด้านหน้าทำให้ฉันที่กำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ บนโซฟาต้องลากสายตากลับไปมอง
แสงสว่างวาบที่ปรากฏบนหน้าจอเพียงไม่กี่วินาทีทำให้ฉันเห็นข้อความสั้นๆ จากใครบางคน...
ฉันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนสมองจะออกคำสั่งให้เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา และเมื่อเข้าไปอ่านข้อความนั้นที่แจ้งเตือนผ่านแชตไลน์ หัวใจที่เต้นอย่างปกติในทีแรกก็เปลี่ยนมาสั่นโครมครามจนแทบกระดอนออกมากองด้านนอก
K.KIM :: พี่อยู่หน้าคอนโดฯ
สรรพนามแบบนั้น ชื่อไลน์แบบนั้น...ถึงจะตั้งโปรไฟล์เป็นภาพพื้นสีดำดาร์กๆ แต่สัญชาตญาณกลับกระซิบย้ำข้างหูว่านี่เป็นคนเดียวกันกับที่ฉันคิดแน่ๆ
พี่คิมคนเลว!
ตั้งแต่รู้จักกันมา เราไม่เคยติดต่อกันผ่านโซเชียลเลยสักครั้ง จะมีก็แต่เฟซบุ๊กของเขาที่ปล่อยร้างไว้นานเป็นปีแล้ว
ส่วนเบอร์มือถือเขา...ฉันมั่นใจนะว่าตัวเองไม่มี และเขาเองก็คงไม่มีของฉันด้วยเหมือนกัน
แล้วทำไม...
“อะไรวะเนี่ย” ฉันมองข้อความดังกล่าวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตื่นตระหนก ทั้งกังวล ทั้งโกรธ แต่ที่มากกว่าอะไรทั้งหมดคือความสงสัยซึ่งพุ่งโจมตีกันอย่างจังในคราวนี้
แอดไลน์หากันแบบนี้ อยากรู้จังว่าพี่คิมไปเอาเบอร์ฉันมาจากไหน?
ซ้ำร้ายกว่านั้นคือ...เขาอยู่หน้าคอนโดฯ ฉันแล้วด้วย!
ยังไม่ลืมหรอกนะ ไม่เคยลืมว่าเขาทำอะไรไว้กับฉันบ้าง ทั้งเหตุการณ์ในเดือนก่อน และหลายวันที่ผ่านมา...
มันเพราะเขาทั้งนั้นที่ทำให้ฉันยังป่วยกระปอดกระแปดแบบนี้
เขาทำให้ฉันเกือบไม่ได้นอนเพราะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งปั่นงานจนเกือบเช้าทั้งที่ตอนนั้นฉันไม่สบายจนแทบไม่มีแรง ไหนจะต้องเสียเวลากับการเอารองพื้นกลบรอยช้ำบนคอที่เขาสร้างไว้ด้วย
พี่คิมทำให้การใช้ชีวิตของฉันยากขึ้นกว่าเดิมมาก และฉันได้แต่ตั้งคำถามว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม
เพราะเกลียดพี่แอลเหรอ? เหตุผลมันแค่นั้นใช่ไหม เขาถึงได้เลือกใช้ฉันเป็นเหยื่อโง่ๆ ที่อยากจะทำอะไรก็ได้แบบนี้
Me :: หนูจะนอนแล้วค่ะ
หลังจากใช้เวลาขบคิดอยู่หลายนาที ในที่สุดฉันก็ยอมพิมพ์ตอบ เป็นประโยคที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่อยากลงไปหา
หนูเข็ดกับพี่แล้ว ไม่ยอมแล้วนะ
K.KIM :: ปฏิเสธพี่ใช่ไหม?
ข้อความต่อมาของพี่คิมก็ทำให้ถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
K.KIM :: พี่ให้เวลาหนู 5 นาที
“เป็นพ่ออ่อมาขู่...?”
ฉันมองข้อความนั้นของพี่คิมแล้วเอ่ยถามอย่างเอาเรื่อง ถ้าเป็นได้ก็อยากจะต่อยหน้าเขาให้ยุบไปครึ่งซีก แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง...ฉันทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น
ขี้ขลาดตาขาวอย่างหนู ให้มองหน้าพี่คิมตรงๆ ยังยากเลย นับประสาอะไรกับการสร้องรอยแผลไว้บนหน้าหล่อขั้นเทพของเขา
ฉันเม้มริมฝีปากขณะจดจ้องเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งผ่านไปได้สองนาทีแล้วนับตั้งแต่พี่คิมส่งข้อความมา
เอาไงดีๆๆ
ฉันถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นกระทั่งตัดสินใจได้แล้วว่าจะเพิกเฉยต่อการมาของเขา อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นคอนโดฯ ฉัน ระบบรักษาความปลอดก็ไม่ได้ไก่กาอาราเร่ ทำไมจะต้องไปกลัวด้วย...
ไว้ให้เขาขึ้นมาได้ก่อนค่อยไปกังวล แน่นอนว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดขึ้นนั้นแทบติดลบ
หึๆๆๆ อย่ามาแหยมกับหนูนะบอกก่อน!
สิ้นความคิด ฉันจึงโยนโทรศัพท์ลงบนโซฟาอีกฝั่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนตีพุงดูทีวีอย่างสบายอกสบายใจ จนเวลาล่วงเลยผ่านไป ความง่วงงุนที่คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ก็ทำให้ฉันเผลอหลับในที่สุด...
ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหนกระทั่งได้ยินเสียงราวกับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้อง ซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำในเมื่อฉันอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลำพัง
เสียงนั้นทำให้ฉันรู้สึกตัวตื่น หากแต่สองตายังคงปิดสนิท
อาการขวัญหนีดีฝ่อที่อัดแน่นอยู่กลางอกส่งผลต่อระบบประสาทและทุกส่วนของร่างกาย แม้ความสงสัยจะมีมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่ความกลัวก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันถึงทำให้ฉันนอนตัวแข็งทื่อบนโซฟาเหมือนเดิม
ผีหรือเปล่านะ หรือโจร...
ฉันคิดไปสารพัดสารเพ ในใจก็นึกถึงบทสวดต่างๆ ที่พอจะจำได้