บทที่2.3

1962 คำ
“มะ ไม่ใช่นะคะ!” ฉันรีบปฏิเสธอย่างทันควัน ก็ว่าอยู่ทำไมใช้สายตาพราวระยับมองกันขนาดนั้น ที่แท้ก็คิดว่าฉันเป็นเด็กของพี่คิมนี่เอง “ไม่ใช่แล้วมาบ้านมันถูกได้ไงครับ ไอ้คิมมันไม่เคยบอกที่อยู่ให้ผู้หญิงคนไหนรู้นะ” “หนูไม่รู้เหมือนกันค่ะ” ฉันส่ายหน้าไปมาเพราะไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง “พี่ช่วยตามพี่คิมออกมาคุยกับหนูหน่อยได้ไหมคะ คือหนู...” “เฮ้ย! ไอ้สัสคิม เมียเด็กมาหามึงอ่ะ” ยังพูดไม่ทันจบประโยค พี่ผมเทาก็หันไปตะโกนเรียกพี่คิมซะแล้ว ฉันผงะแรงมาก ริมฝีปากแข็งเกร็งไปแล้ว และยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่เมื่อพบกับร่างสูงโปร่งของพี่คิมเดินทำหน้าหงุดหงิดออกมาพร้อมกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อมาถึงคือจ้องมองฉันผ่านนัยน์ตาลุ่มลึก... เป็นสายตาชนิดหายากและคาดเดาอะไรไม่ได้ รู้อยู่อย่างเดียวคืออันตรายทุกครั้งที่ได้สบตา มันเหมือนว่าฉันกำลังถูกเขากระชากไปอีกโลกหนึ่งเลย แล้วก็นะ สังเกตจากแก้มที่แดงกว่าเดิมเล็กน้อยกับกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจัด ฉันมั่นใจว่าเขาต้องดื่มมาแน่ๆ และอาจจะดื่มมามากพอสมควรด้วย เอาเถอะ เขาจะดื่มหรือไม่ดื่มมันก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว ฉันแค่มาที่นี่เพื่อถามเรื่องแฟลชไดร์ฟ ได้เรื่องเมื่อไหร่ก็กลับแล้ว “คือ...” เพราะพี่คิมไม่พูดอะไรและยังคงทำหน้าหงุดหงิดเหมือนการมาของฉันมันรบกวนเวลาสังสรรค์ ฉันเลยสลัดความประหม่าที่ก่อตัวขึ้นเงียบๆ ภายในใจทิ้งไปส่วนหนึ่งแล้วเป็นฝ่ายปริปากพูด “พอดีหนูทำ...” “ไปคุยกันข้างในดีกว่า ฝนลงเม็ดอีกแล้ว” พี่ผมเทาไม่รอให้ฉันพูดจบ แถมยังยื่นข้อเสนอที่มองยังไงก็ไม่ต่างไปจากการล่อเหยื่อเข้าถ้ำเสือกับฉัน พี่คิมร้ายกาจจะตาย... ยังจำเหตุการณ์เมื่อเดือนก่อนได้อยู่เลย ขนาดฉันมาบ้านเขาครั้งแรกยังถูกจับกะเทาะเปลือกออกจนไม่เหลืออะไรติดตัวสักชิ้น แล้ววันนี้ฉันจะกล้าย่างเท้าเข้าไปในอาณาเขตของเขาได้ยังไง อันตรายชัดๆ เลยแบบนี้! “ไม่ได้หรอกพี่ ไอ้อายมันมีการบ้านที่ต้องกลับไปทำ” และนี่คือเหตุผลที่ฉันให้ทับทิมมาเป็นเพื่อน เพราะมันขี้กลัวน้อยกว่า เอาตัวรอดได้ดีกว่า แถมยังมีสติกว่าฉันเป็นไหนๆ “ไม่นานๆ พี่แค่ให้น้องๆ หนูๆ เข้ามาหลบฝนก่อนครับ” พี่ผมเทายิ้มอย่างเป็นมิตร ดูเป็นคนนิสัยดี น่ารักน่าคบหาจริงๆ แต่ดูจากนิสัยของพี่คิมแล้ว...เพื่อนที่เขาคบก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ ต้องเป็นพวก ‘หล่อแต่เลว’ แน่นอน หนูรับประกัน! “ใช่ค่ะ หนูมาที่นี่เพราะอยากถามเรื่องแฟลชไดร์ฟเฉยๆ” ในที่สุดก็พูดออกไปจนได้ ซึ่งคำบอกกล่าวนั้นทำให้พี่คิมที่เอาแต่เงียบแสดงสีหน้าชนิดหนึ่งออกมา ทำไมฉันรู้สึกว่าเขากำลังเมานะ... “อยู่บนห้อง” พี่คิมเหมือนรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ยอมปริปาก และคำพูดของเขามาพร้อมกับแสงสว่างที่พร่างพราวในใจฉัน โชคดีจริงๆ ที่งานไม่ได้หายไปไหน แต่เวลาต่อมาฉันพบว่าความโชคดีนั้นยังมีความโชคร้ายแฝงไว้อยู่หลายส่วน “ไปนั่งรอข้างใน ขอหาก่อน” “...” ฉันอ้าปากพะงาบ กำลังคิดอยู่ว่าจะปฏิเสธยังไงดี จนกระทั่ง... “ถ้าหนูอยากตากฝนก็ตามใจ พี่ไม่ว่า” เปาะ แปะ... พูดจบ สายฝนที่ตกปรอยๆ ในคราวแรกก็ทวีความหนักหน่วงกว่าเก่าหลายเท่าราวกับพึงพอใจที่ได้เห็นฉันกระฟัดกระเฟียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบนี้ บ้าจริง... ฉันกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเนื่องจากความลังเลปนความหงุดหงิด เริ่มคิดหนักว่าจะปล่อยให้เปียกไปทั้งตัวเพื่อแลกกับการไม่เอาตัวเองเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม หรือจะยอมเข้าไปนั่งข้างในเพื่อแลกกับการที่จะไม่ป่วยหนักไปมากกว่านี้ แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม~ “เอาไงดีวะ” เมื่ออับจนหนทางแล้ว ฉันจึงหันไปกระซิบถามทับทิมอย่างต้องการตัวช่วย “ฉันอยู่ด้วย เดี๋ยวคุ้มกันเอง ถึงไม่อยากให้เข้าไปเเต่ก็ดีกว่ามายืนตากฝนนะ” คำพูดของเพื่อนฉันเท่ยิ่งกว่าพระเอกนิยายอีกนะ ฟังแล้วใจชื้นขึ้นมาหลายเท่า เมื่อทับทิมคนสวยแถมยังเท่ว่าแบบนั้น ฉันที่ยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงนี้จึงตัดสินใจลากตัวเองเข้าไปรอในห้องรับแขก... ขณะนั้นสายฝนที่รุนแรงเหมือนไปโกรธใครมาก็ส่งเสียงซ่าๆ เข้ามาถึงในห้อง ให้ความรู้สึกเหมือนมาพร้อมพายุลูกใหญ่เลย พี่คิมคนเลว พี่กลับมาแบบคนปกติไม่ได้หรือไง ทำไมต้องมาพร้อมฝน ทำไมต้องมาพร้อมเรื่องเฮงซวย มาแบบธรรมดาๆ โลกไม่จำสินะ “ใครวะ” แล้วฉันก็ต้องผงะอย่างรุนแรงเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวันเมื่อพบว่าโซนห้องรับแขกนั้นมีเพื่อนพี่คิมอีกหลายคนนั่งจับกลุ่มเล่นเกมอะไรสักอย่างอยู่ ส่วนคำถามเมื่อครู่นี้เป็นของหนึ่งในกลุ่มเพื่อนพี่คิม เขาบังเอิญหันมาทางนี้พอดีน่ะ แน่นอนว่ามันทำให้พี่ๆ ที่เหลือละความสนใจจากเกมตรงหน้าแทบจะทันที ฉันกลืนน้ำลาย สำรวจความหล่อของเพื่อนพี่คิมเงียบๆ ก่อนจะมองขวดเหล้าและกับแกล้มมากมายที่วางเกลื่อนกลาดเต็มพื้นไปหมด... เห็นสภาพแวดล้อมโดยรวมแล้ว ฉันได้กรีดร้องแล้วถามตัวเองในใจว่า ‘หนูพาตัวเองมาทำอะไรที่นี่?’ “เมียไอ้คิมมัน” เป็นพี่ผมเทาอีกครั้งที่ให้ตอบ และคำตอบนั้นทำให้ฉันผวาทุกครั้งที่ได้ยิน ถึงใจจะบอกว่าไม่ใช่ ถึงจิตสำนึกจะบอกว่าไม่จริง แต่เรื่องในคืนนั้นมักจะสว่างชัดในหัวทุกครั้งเมื่อฉันพยายามปฏิเสธมัน “เมีย?” คำตอบของพี่ผมเทาทำให้เพื่อนพี่คิมทุกคนสนใจฉันและทับทิมกว่าเดิมหลายสิบเท่า แน่นอนว่าการตกเป็นเป้าสายตามันยิ่งทำให้ร่างกายฉันแข็งทื่อด้วยความประหม่า “เมียไอ้คิม...ทั้งสองคนเลยเหรอ?” พี่คนหนึ่งที่ดูเถื่อนที่สุด รอยสักเต็มตัว แถมยังคาบบุหรี่เป็นคนถามขณะมองฉันสลับทับทิมอย่างไม่แน่ใจ “ไอ้บอย! นั่นเอาสมองหรือส้นตีนคิด” พี่ผมเทาด่าพี่บอย “น้องคนผมประบ่าต่างหาก อีกคนไม่ใช่” ผมประบ่าที่ว่า...มันคือฉันเอง “แล้วทำไมมึงไม่บอกให้ชัดตั้งแต่แรกล่ะไอ้ห่าดิว” พี่บอยค่อนขอดเพื่อนเหมือนว่านี่ไม่ใช่ความผิดตัวเอง ส่วนพี่ผมเทาที่ฉันได้รู้สักทีว่าชื่อดิวก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งจัด “กูว่าพวกมึงหยุดทะเลาะกันก่อนเหอะ น้องเขาเกร็งไปหมดละ” เสียงหนึ่งแว่วมา เป็นของหนึ่งในกลุ่มเพื่อนพี่คิมนั่นแหละ เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นเสียงของคนไหนเพราะตอนนี้ฉันเลือกที่จะตรึงสายตาไว้ที่เท้าทั้งสองข้างของตัวเองแล้ว “น้องนั่งตรงนั้นก่อนได้เลยครับ รอไอ้คิมสักแป๊บ” คำบอกกล่าวก่อนหน้านี้ทำให้พี่ดิวหันมาพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรเหมือนเคย ไม่นานทับทิมก็เป็นฝ่ายลากฉันไปนั่งบนโซฟาสีดำสนิทตัวที่อยู่ใกล้เราที่สุด จนกระทั่งก้นสัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นของโซฟา ความกังวลที่เคยหนักอึ้งก็คล้ายกับจะได้รับการผ่อนปรน แต่เอาจริงๆ ก็ยังกลัวอยู่... รู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไหร่เลย พี่คิมที่บอกว่าจะขึ้นไปเอาแฟลชไดร์ฟให้ก็หายไปนานมากแล้ว มันหลายนาทีจนฉันต้องแอบเอี้ยวหน้าไปด้านหลังซึ่งจุดนั้นเป็นบันไดที่ตรงขึ้นไปถึงห้องนอนเขาพอดี “มันขึ้นไปทำไร ทำไมนาน” เสียงนั้นเป็นของพี่บอย เขาถามพี่ดิวที่กำลังรินเหล้าใส่แก้ว “ไอ้คิมเหรอ?” พี่ดิวถาม ส่วนพี่บอยพยักหน้าเนือยๆ สองครั้ง “ขึ้นไปเอาของให้เมีย” เมียอีกแล้ว คำก็เมีย สองคำก็เมีย ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย “ไปดูมันหน่อย กลัวมันเดินชนเสาตาย” พี่บอยพูดพร้อมพ่นควันบุหรี่ออกมา ฉันลอบมอง และพบว่าสีหน้าของเขาผ่านกลุ่มควันพวกนั้นมีความกังวลแบบเจือจางที่พอจะสังเกตได้ สมัยที่พี่คิมยังเรียนมหาวิทยาลัย เขาตัวคนเดียว ไม่ค่อยคบใคร เป็นไปได้ว่าเพื่อนๆ กลุ่มนี้ของเขาเป็นเพื่อนที่คบกันมานานแล้ว อาจจะตั้งแต่ตอนเรียนอนุบาล ประถม หรือมัธยม แต่เดี๋ยวก่อนนะ...เมื่อครู่นี้ที่พี่บอยบอกให้ขึ้นไปดูพี่คิมน่ะ มันหมายถึงฉันใช่ไหม? “พี่เป็นเพื่อนเขาก็ไปดูเองสิ” ไม่ นี่ไม่ใช่คำพูดของฉัน แต่เป็นของทับทิมที่คว้ามือฉันไปบีบตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ “พวกหนูจะนั่งรอตรงนี้” ไร้สุ้มเสียงใดๆ จากพี่บอยอีก มีเพียงเรียวคิ้วเข้มเท่านั้นที่กระตุกนิดๆ เหมือนไม่ชอบใจคำพูดของเพื่อนฉัน “กูไปดูเองก็ได้...” จนกระทั่งมีพี่อีกคนอาสาว่าจะขึ้นไปดูพี่คิมเอง “ไอ้ฮัน มึงดูเมาๆ นะ” พี่ดิวทัก ฉันเห็นด้วย พี่ฮันคนนี้ดูเมามายกว่าทุกคน แต่ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอก เพราะตั้งแต่เข้ามาที่นี่ จำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวที่เอาแต่นั่งดื่มเหมือนคนโดนหักอก “กูไม่เมาๆ” พี่ฮันโบกมือไปมาแล้วเดินขึ้นบันไดไปในที่สุด จนเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที...ทั้งพี่คิมและพี่ฮันก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา ฉันเริ่มนั่งไม่ติดที่ ไม่ใช่เพราะเป็นห่วง แต่ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ไหนจะต้องเสียเวลานั่งรถกลับคอนโดฯ อีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง การบ้านก็ต้องทำ ข้าวก็ยังไม่ได้กินเลย สารรูปแบบนี้ ป่วยกระปอดประแปดแบบนี้ กว่าจะถึงเวลาพรีเซนต์งานฉันไม่ตายก่อนหรือไง บ้าจริงๆ เลย ทั้งหมดเป็นเพราะพี่คิมคนเดียว! พรึ่บ! เพราะไม่อยากเสียเวลาไปกับการนั่งรอแล้ว ฉันจึงลุกขึ้นจากโซฟาทันที นั่นทำให้ทับทิมและเพื่อนพี่คิมหันมามอง “จะไปไหน” ทับทิมถามฉันอย่างสงสัย “แกไปกับเราหน่อย เราไม่อยากรอแล้ว เสียเวลา” ฉันหน้างอ หงุดหงิดจนแทบฆ่ามดด้วยมือเปล่าได้อยู่แล้ว “อืม ได้” ทับทิมยอมลุกขึ้นแล้วเดินตามฉันมาเงียบๆ ส่วนเพื่อนพี่คิมทั้งหลายไม่ได้พูดอะไร คงคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แหงสิ ก็พวกเขาคิดว่าฉันเป็นเด็กของพี่คิมนี่นา จนกระทั่งเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพี่คิม ความลังเลเล็กๆ ทำให้ฉันชั่งใจอยู่ประมาณหนึ่งนาที แต่เมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วพบว่าตอนนี้มันดึกมากแค่ไหน ความลังเลที่เคยมีก็ถูกกระชากทิ้งไปในที่สุด ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องพี่คิม คิดว่าจะต้องเจอเขาหรือพี่ฮัน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ในนี้เลย มันเงียบมาก เงียบราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม