วันนี้เป็นอีกวันซึ่งบอกว่าตามตรงว่าเฮงซวยที่สุด!
เริ่มตั้งแต่การปรากฏตัวอันน่าสะพรึงของผู้ชายที่หายหัวไปเป็นเดือนอย่างพี่คิม
ต่อมาก็ถูกทิ้งให้อยู่ในสถานที่อันตรายเพียงลำพัง ต้องเดินเท้ากว่าสองชั่วโมงท่ามกลางสายฝน ต้องทนเปียกทนหนาวไม่พอ กลับมาก็ยังเจอพี่ชายหัวแดงนั่งทำหน้าถมึงทึงสาดคำถามใส่อีกเป็นชุด!
กว่าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ ได้ ฉันนี่แทบตายเลยทีเดียว
จนเมื่อพี่แอลพึงพอใจในคำตอบ เลิกซักไซ้และออกไปจากคอนโดฯ ฉันก็พบว่าตัวเองตะครั่นตะครอไปทั้งเนื้อทั้งตัว ยาที่เพิ่งกินไปแทบจะไร้ประสิทธิภาพไปเลยเมื่อเทียบกับอาการของฉันที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
ฉันปวดหัวมาก จามไม่หยุด ร่างกายมันเรียกร้องให้รีบพักผ่อน แต่ประเด็นคือฉันยังมีการบ้านที่ต้องทำ ซึ่งเป็นงานที่ต้องส่งอาจารย์คู่กับการนำเสนอผ่านพาวเวอร์พ้อยท์พรุ่งนี้เช้า
ปัญหามันอยู่ตรงไหนรู้ไหม...
ฉันพยายามหาแฟลชไดร์ฟในกระเป๋ามาสักพักแล้วแต่ก็ไม่เจอ เทกระจาดทุกสิ่งทุกอย่างก็แล้ว ปลิ้นกระเป๋าก็แล้ว วัตถุสีดำขนาดพอๆ กับนิ้วโป้งก็ไม่ปรากฏต่อสายตาสักที
จนกระทั่งเห็นรูเล็กๆ บริเวณก้นกระเป๋า...คำตอบทั้งหมดก็หล่นใส่ฉันโครมใหญ่
กระเป๋าราคาสามพันที่พี่ลูกพลัมซื้อให้เป็นของขวัญเกิดหนู...เป็นรูค่ะ!
ชัดเลย แฟลชไดร์ฟต้องหล่นที่ไหลสักที่แน่ๆ
เนี่ย เพราะแบบเนี้ย ถึงได้บอกไงว่าวันนี้มันวันเฮงซวย!!
อุตส่าห์เอาตัวรอดจากพี่แอลด้วยเหตุผล ‘แอบปีนรั้วช่วยน้องแมวบนหลังคาใกล้ๆ มอจนกลับค่ำ’ จนมันไม่ตะขิดตะขวงใจในตัวฉันแล้ว ก็ยังจะมาเจอปัญหาที่ใหญ่กว่าอีก
ถ้าสงสัยว่าพี่แอลมันเชื่อเรื่องปีนหลังคาไปช่วยน้องแมวได้ยังไง...
โชคดีหน่อยที่ตอนเด็กๆ ฉันเคยทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง บวกกับเป็นทาสหมาทาสแมวด้วย เหตุผลโง่ๆ แบบนี้มันก็คงคิดว่าเหมาะกับคนโง่ๆ อย่างฉันแล้วนั่นแหละ
แต่ก่อนจะกลับมันก็ไม่วายเขกกะโหลกฉันไปหนึ่งทีแบบเจ็บๆ
ที่จริงพี่แอลอยู่คอนโดฯ เดียวกับฉันนะ แต่คนละชั้น ทว่าช่วงนี้มันเทียวไปเทียวมาบ้านพี่ลูกพลัมบ่อยจนแทบจะย้ายถิ่นฐาน ที่แห่งนี้จึงแทบกลายเป็นห้องร้างไปเลย
“ทำหล่นที่ไหนวะ!”
หลังจากพลิกแผ่นดินหาแฟลชไดร์ฟสุดที่รักอย่างเอาเป็นเอาตายจนได้คำตอบว่าน่าจะตกที่ไหนสักที่ ในที่สุดฉันก็ทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง พลันคิดว่าวันนี้ตัวเองไปที่ไหนบ้าง
จำได้นะว่าก่อนออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ฉันยังเห็นมันแวบๆ ในกระเป๋า แสดงว่ามันต้องหายไปหลังจากนั้นแน่นอน
เอ๊ะ
หรือว่า...
ฉันกลืนน้ำลายลงคอทันทีเมื่อภาพตัวเองตอนอยู่ในรถพี่คิมผุดวาบขึ้นมาในหัวสมอง
ตอนนั้นฉันทั้งแหกปากโวยวาย อีกทั้งยังดีดดิ้นรุนแรง...เป็นไปได้ว่าจังหวะที่ฉันเคลื่อนไหวมากๆ จะทำให้แฟลชไดร์ฟหลุดออกจากรูของกระเป๋า
หรือว่ามันจะตกตอนที่พี่คิมสั่งให้ลงจากรถนะ
หรือไม่ก็...อาจหายตอนฉันเดินตากฝนอย่างน่าสงสารหลังถูกปล่อยทิ้งไว้เพียงลำพัง?
...ไม่ว่าที่ไหนมันก็ไม่ดีสักอย่างเลยสำหรับฉัน
ที่นั่นมืดมาก น่ากลัว การวกกลับไปหามันในเวลานี้ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก แล้วถ้าเผลอทำตกตอนนั่งแท็กซี่ล่ะ? คุณลุงคนขับคงไม่สนใจหรอก โอกาสที่จะได้กลับคืนมาก็แทบไม่มีเลย
เหลือทางเลือกสุดท้ายคือลองไปถามพี่คิมคนเลวดู
และทางเลือกนี้แหละ...อันตรายกว่าทุกอย่างที่กล่าวมา
หนูไม่อยากเจอหน้าเขา หนูเพิ่งถูกเขารังแกจนป่วยนะ
แต่งานที่อยู่ในนั้นก็สำคัญมาก ส่งพรุ่งนี้แล้วด้วย จะให้ทำใหม่ก็คงไม่ทัน
เอาไงดีวะ...
ฉันคิดพลางกัดริมฝีปากตัวเองไปด้วย มีความกังวลอยู่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือโกรธเขาจนไม่อยากเห็นหน้า
เบอร์ก็ไม่มี เฟซบุ๊กก็ปล่อยร้าง ช่องทางการติดต่อของเราแทบจะติดลบ
หนูควรไปหาเขาที่บ้านเหรอ?
จะไม่ไปก็ได้นะ แต่ถ้าแฟลชไดร์ฟอยู่บนรถเขาจริงๆ ก็จบเห่สิ
‘มีเหตุผลที่อายต้องเป็นเด็กดีกับพี่...ข้อนี้รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ’
เมื่อนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาแต่เรียบเฉยของพี่คิม การกระทำร้ายๆ ที่ส่งมาผ่านน้ำเสียงทุ้มต่ำและสัมผัสอันแสนอ่อนโยน ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ตามมาตอกย้ำและตักเตือนว่าฉันควรอยู่ให้ห่างเขา
...ไม่ใช่เป็นฝ่ายวิ่งแจ้นไปหาเขาถึงที่
แต่งานในแฟลชไดร์ฟนั่นส่งผลต่อเกรดเลยนะ ฉันไม่ยอมเสียคะแนนเพียงเพราะความสะเพร่าและขี้ขลาดของตัวเองหรอก
ฮึบ! ไม่เป็นไรไอ้อาย เรื่องแค่นี้เอง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ฉันจึงสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่งแล้วต่อสายหาทับทิมทันที รอไม่กี่วินาทีมันก็กดรับ
[ว่า?] การทักทายนั้นเจือความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆ
สงสัยเล่นเกมอยู่แน่ๆ เลย...
“ทิมๆ โทษที่รบกวนเวลานะ แต่ช่วยไรเราหน่อยดิ”
ฉันไม่อยากรบกวนเพื่อน แต่จะให้ไปบ้านพี่คิมตัวคนเดียวก็อันตรายเกินไป
[ช่วยอะไรอ่ะ] น้ำเสียงดูไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ทำยังไงได้ มันเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันสนิทนี่นา
“คืองี้นะ...”
แล้วหลังจากนั้นฉันก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ตอนแรกเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องโดนเพื่อนสวดยับตับไหม้แน่ แต่ผิดคาดตรงที่มันไม่ได้ต่อว่าอะไรนอกจากคำว่า ‘อืมๆ’
น่ารักแบบนี้ไว้ค่อยเลี้ยงข้าวมันเป็นการตอบแทนแล้วกัน
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงบ้านพี่คิม
ไม่ต้องสงสัยนะว่าเพื่อนจะระแคะระคายเรื่องนี้ไหม ในเมื่อฉันเล่าทุกอย่างให้มันฟังหมดไม่มีตกหล่นแม้แต่เม็ดเดียว รับประกันได้เลยว่าเพื่อนคนนี้ไว้ใจได้ ถึงจะชอบทำหน้าเหม็นเบื่อและปากหมาบ้างเป็นบางเวลา แต่เรื่องความสัมพันธ์แปลกๆ ระหว่างฉันกับพี่คิมไม่มีทางหลุดไปถึงหูพี่ชายรวมถึงครอบครัวฉันแน่นอน
“ทำไมมีรถจอดหลายคันจังวะ”
และเมื่อมาถึง ความสงสัยก็เล่นงานเราสองทันที เพราะบริเวณหน้าบ้านพี่คิมนั้นมีรถที่ดูๆ แล้วราคาน่าจะแพงหูฉี่จอดเรียงรายเต็มไปหมดเลย
มีทั้งรถสปอร์ต ช็อปเปอร์ ฮาร์เล บิ๊กไบค์ ส่วนลัมโบกินี่สีดำของพี่คิม ฉันมองผ่านรั้วไปก็เห็นว่ามันจอดอยู่ข้างในอย่างปลอดภัย
รถแต่ละคันรวมๆ แล้วซื้อบัตรคอนเสิร์ตโอป้าได้หลายใบเลยนะเนี่ย...
“เราว่าเราได้ยินเสียงเพลงดังมาจากข้างในนะ” ฉันบอกทับทิม
“เออๆ ได้ยินแว่วๆ เหมือนกัน อย่าบอกนะว่าเพื่อนพี่คิมอยู่ที่นี่อ่ะ!”
“โหย” แค่คิดว่าต้องเจอหน้าเพื่อนๆ พี่คิม ฉันก็เขินจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแล้ว
เพราะฉันชอบพี่คิมมาเป็นปีแล้ว ต้องรู้อยู่แล้วว่าพี่คิมมีเพื่อนอยู่หลายคน ฉันเคยเห็นผ่านๆ อยู่ครั้งสองครั้ง จำได้ว่ามีแต่คนหน้าดีๆ ทั้งนั้น
แต่ไม่รู้จักชื่อหรอกนะ
“เออน่า รีบๆ เคลียร์ธุระของแกให้เสร็จ จะได้รีบกลับไปทำการบ้านแล้วพักผ่อน หน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้วเนี่ยรู้ตัวบ้างไหม!”
ประโยคยาวเหยียดของเพื่อนที่มาพร้อมเสียงบ่นแต่แสดงออกถึงความเป็นห่วงทำให้ฉันต้องพยักหน้าหงึกหงัก
ว่าแล้วก็รีบกดออด ยืนรอไม่นานเท่าไหร่ประตูบ้านก็ถูกเปิดออกมาพร้อมร่างสูงของใครคนหนึ่ง ก่อนเขาคนนั้นจะก้าวขายาวๆ มาที่รั้ว
ไม่ใช่พี่คิม เป็นใครไม่รู้...แต่หล่อจนเกินบรรยาย
“หืม มาหาใครครับ?” พี่ผู้ชายผมสีเทาขุ่นเหมือนควันบุหรี่ถามเสียงหวาน ทำเอาฉันที่มัวแต่ตะลึงกับออร่าความหล่อในระยะใกล้ต้องรีบดึงสติกลับมา
“หนูมาหาพี่คิมค่ะ พอดีมีเรื่องอยากจะถาม” ฉันรีบบอกไป
“ไอ้คิมเหรอ?” พี่ผมเทาทวนถามเหมือนสงสัยอะไรสักอย่าง โดยไม่ลืมสำรวจใบหน้ารวมถึงการแต่งกายของฉันตั้งแต่หัวจดเท้า “เป็นเด็กมันเหรอครับ?”