มเหสีอังค์เนสเรียกโอรสทั้งสองให้กลับเข้าตำหนักโดยมีไลน์ร่าเดินตามหลัง เมอริอาร์ก้มหน้าต่ำจนเมื่อเห็นว่าเหลือเพียงตนเองตามลำพังก็เงยหน้าลุกขึ้นยืน ถึงแม้จะเตรียมใจมาแล้วว่าจะต้องอยู่ที่อียิปต์ในฐานะเชลยคนหนึ่ง ไม่ว่าจะได้เป็นนางสนมหรือเป็นเพียงหญิงธรรมดาก็คงไม่ต่างอะไรจากเชลยนัก หญิงสาวเงยหน้ามองท้องฟ้าเห็นนกที่บินเหนือศีรษะก็ได้แต่ถอนหายใจอดปวดใจไม่ได้เมื่อคิดถึงอิสระที่เคยมี
“เจ้าคิดเหมือนข้าหรือเปล่าไลน์ร่า” มเหสีอังค์เนสตรัสถาม
“นางดูเป็นคนดีเพคะ”
“ไม่ใช่แค่ดูเป็นหรอก ข้าเชื่อว่านางเป็นคนดี” ทรงสรวลขึ้นแล้วหันไปทางอโมนีและอมุน-มิน “พวกเจ้าอยากไปหาเสด็จอาหรือไม่”
“ท่านแม่จะไปหาเสด็จอาหรือพะยะค่ะ” อโมนีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากไปเล่นกับเสด็จอา”
“แม่ก็จะไปดูแผลของเสด็จอาเสียหน่อย” พระนางจูงอโมนีไว้ในมือส่วนอมุน-มินที่หัวเราะชอบใจนั่งอยู่บนท่อนแขนของไลน์ร่า
“พระมเหสีจะไปทำหน้าที่แม่สื่อมิใช่หรือเพคะ” ไลน์ร่าแสร้งพูดขึ้นแหน้าตาย
“ข้าแสดงให้เห็นชัดขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย” พระนางสรวลขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปที่ตำหนักของอูเซอร์คาเรทันที
เมอริอาร์พาร่างบอบบางเดินกลับมาที่ตำหนักที่ถูกจัดไว้ให้เธอพัก ซึ่งมันแสนจะสวยงามกว่าที่เธอเคยคาดคิดไว้มาก ผู้ติดตามคนอื่นๆ ถูกจัดให้พักอีกที่หนึ่ง ทำให้เธอไม่ค่อยได้พบโมเลสนัก จะว่าไปเธอก็ไม่อยากพบเขานักเพราะมักจะได้ยินเรื่องที่ไม่อยากได้ยินโดยเฉพาะการพร่ำคำรักกับเธอ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ก็พบหญิงนางหนึ่งยืนรออยู่เมื่อเห็นเธอเดินเข้าไปใกล้ก็ก้มลงถวายความเคารพเธอ
“ไม่ต้องทำกับข้าขนาดนั้นก็ได้” เมอริอาร์รีบเข้าไปห้าม “เจ้าเป็นใครกัน”
“หม่อมฉันชื่อเจย์นาเพคะ ท่านไลน์ร่าให้หม่อนฉันมาคอยรับใช้ท่านหญิง”
“เจ้าอายุเท่าไหร่”
“สิบห้าเพคะ”
“ดูรูปร่างเจ้าใหญ่กว่าข้าเสียอีก” เมอริอาร์หัวเราะขึ้นเบาๆ “ไม่ต้องมากพิธีกับข้านักหรอกข้าเองก็มาจากชนเผ่าเล็กๆ ในทะเลทรายเท่านั้น”
“มิได้หรอกเพคะ” เจย์นายิ้มกว้าง “ท่านไลน์ร่าบอกว่าท่านหญิงเป็นคนสำคัญต้องให้ความเคารพอย่างสมเกียรติ”
‘พระมเหสีช่างดีกับข้าเหลือเกิน’ เมอริอาร์ได้แต่พึมพำในใจ “ช่างเถอะ ก็ดีเหมือนกันข้าจะได้มีเพื่อนคุย”
“แต่ตอนนี้ท่านหญิงต้องเตรียมตัวแล้วเพคะ”
“เตรียมตัวอะไร”
“ก็ตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงแล้วท่านหญิงต้องไปร่วมงานด้วย หม่อมฉันจะช่วยอาบน้ำแต่งตัวนะเพคะ”
“อะไรกัน...อาบน้ำตอนนี้เลยหรือ”
“ก็ตอนนี้ซิเพคะ” เจย์นามีสีหน้างุนงงแล้วฉุดแขนของเมอริอาร์ให้เดินตามเธอไปห้องอาบน้ำ “ท่านหญิงต้องแช่น้ำอุ่นโรยกลีบกุหลาบแล้วหม่อมฉันจะถูตัวให้เองเพคะ”
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้มั้งจ๊ะ” เมอริอาร์หน้าถอดสี ตั้งแต่เกิดมาจนมารดาเสียชีวิตก็ไม่เคยมีใครมาช่วยเธออาบน้ำ “มันเป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน หากไม่ต้องการให้หม่อมฉันถูกลงโทษก็ขอได้โปรดทำตามที่หม่อมฉันแนะนำเถิดเพคะ”
เมอริอาร์จำใจให้เจย์นาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอออกแล้วรีบลงแช่ในน้ำที่เตรียมไว้อย่างรวดเร็วเธอไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อนเพราะเธอเป็นต้นเหตุแต่ก็ยอมรับว่าการได้แช่น้ำอุ่นที่มีกลีบกุหลาบหอมกรุ่นทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ผิวกายของท่านหญิงนุ่มยิ่งนักเพคะไม่น่าเชื่อว่าท่านหญิงมาจากทะเลทราย”
เมอริอาร์หัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ข้าว่าผิวของข้าหยาบกระด้างยิ่งนัก”
“มิได้เพคะ ผิวท่านเนียนนุ่มจริงๆ “ เจย์นาเอ่ยชมอย่างจริงใจแล้วช่วยนวดไหล่ให้หญิงสาว “ดวงตาของท่านหญิงก็งดงามนักเป็นสีเขียวดุจมรกตน้ำงาม หม่อมฉันเลือกอาภรณ์ที่เข้ากับดวงตาของท่านหญิงไว้แล้วนะเพคะ”
“ปกติข้าไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับนัก”
“ท่านหญิงนี่แปลกผิดวิสัยหญิงนัก” เจย์นาโคลงศีรษะ “ท่านหญิงทำอะไรอยู่ที่เผ่าของท่านเพคะ”
“ข้าได้รับอนุญาตให้เรียนหนังสือเท่าเทียมกับบุรุษในเผ่า ข้าก็เลยชอบการศึกษาตำราต่างๆ จะว่าไปชีวิตข้าก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าใดนักหรอก”
“แต่ผู้หญิงที่อ่านเขียนหนังสือได้มีน้อยนะเพคะ”เจย์นาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “สักวันหนึ่งท่านหญิงต้องได้ใช้มันแน่ๆ”
“ขอบใจเจ้ามากนะเจย์นา ข้าชักชอบเจ้าแล้วซิ”
“ถือเป็นเกียรติของหม่อมฉันยิ่งนักเพคะ” เจย์น่าหัวเราะคิกคัก “วันนี้หม่อมฉันจะแปลงโฉมท่านหญิงให้ใครต่อใครตกตะลึงเลยทีเดียว”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าดูแลตัวเองได้”
“ไม่ได้เพคะมันเป็นหน้าของหม่อมฉัน”
“หน้าที่...หน้าที่...” เมอริอาร์ถอนหายใจหนักๆ“ทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตัวเองทั้งนั้นไม่ว่าเจ้า
หรือข้า...”
“เพคะ หน้าที่ของหม่อมฉันคือดูแลท่านหญิง”
“หน้าที่ของข้าคือปกป้องชนเผ่าของข้า”
เมอริอาร์หลับตาลงอย่างปวดร้าวคิดถึงหมู่บ้านที่จากมา ไม่ว่าใครก็ล้วนมีหน้าที่ของตนเองซึ่งหน้าที่ของเธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้ว่าจะได้ยินพระมเหสีตรัสเช่นนั้นแต่เธอยังไม่รู้โชคชะตาของตนเองด้วยซ้ำ
ทำไมเธอต้องเกิดเป็นหญิงด้วยนะ! ถ้าเกิดมาเป็นชายคงได้ช่วยเหลือเผ่าของตนเองมากกว่านี้.
........
มาโมดูแลความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายให้แม่ทัพอูเซอร์คาเรเรียบร้อยแล้วจึงก้าวถอยหลังออกมา ชายหนุ่มขยับตัวอย่างหงุดหงิดเพรายังเจ็บที่แผลอยู่บ้าง
“ถ้าไม่เพราะการเดินทางบาดแผลของท่านแม่ทัพคงสมานกันเร็วกว่านี้”
อูเซอร์คาเรปรายตามองคนสนิทเล็กน้อยแล้วระบายลมหายใจหนักๆ “เราเป็นทหารมิควรบ่นอะไรกับเรื่องพวกนี้”
“ขอรับท่านแม่ทัพ จะให้กระหม่อมช่วยพยุงหรือไม่”
“ข้าไม่ต้องการให้ว่าที่เจ้าสาวของข้าตื่นตกใจคิดว่าข้าพิกลพิการ”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
อูเซอร์คาเรเดินตัวตรงอย่างงามสง่าเข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่มีงานเลี้ยงอยู่ แม้เขาจะรู้ว่างานเลี้ยงนี้จัดขึ้นด้วยเหตุผลใด นี่คงเป็นเพราะในสมัยก่อนเขาชอบบังคับฝืนใจคนอื่นไว้มาก จึงถึงคราวที่ตัวเองถูกบังคับให้แต่งงานเสียเอง แต่เป็นบัญชาของฟาโรห์เนเฟอร์คาเรเขาก็ไม่คิดที่จะขัด
เสียงดนตรีบรรเลงสนุกสนานอย่างเชื้อเชิญให้ทุกคนร่วมรื่นเริงไปด้วย โดยเฉพาะพระโอรสทั้งสองที่ดูจะสนุกสนานมากกว่าใครทั้งหมด ชายหนุ่มเดินตรงไปที่เบื้องหน้าฟาโรห์เนเฟอร์คาเรและพระมเหสีอังค์เนสแล้วถวายความเคารพ
“ตามสบายเถิดอนุชาแห่งข้า” ฟาโรห์เนเฟอร์คาเรตรัสขึ้น
“พระองค์จะไม่เฉลยหน่อยหรือว่าเจ้าที่เจ้าสาวของกระหม่อมเป็นใคร”อูเซอร์คาเรก็ทราบดีว่าองค์ฟาโรห์มิโปรดงานรื่นเริงเช่นนี้เท่าไหร่นัก ถ้าไม่เพราะว่า
“ข้ามิยักรู้ว่าแม่ทัพผู้กรำศึกมานานเช่นเจ้าจะใจร้อนเรื่องนี้” ทรงสรวลขึ้นแล้วหันไปมองมเหสี “เชิญนางมาเถิด”
“เพคะ” มเหสีอังค์เนสพยักพระพักตร์รับ พระนางตบมือส่งสัญญาณให้นางกำนัลเชิญว่าที่เจ้าสาวของแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรเข้ามา
ไลน์ร่าก็เดินนำหญิงสาวนางหนึ่งเข้ามาท่ามกลางเสียงฮือฮาของผู้คนในงานเลี้ยง อูเซอร์ลอบถอนหายใจหนักๆ ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร ถ้าจะได้พบหญิงงามสักคนหนึ่งในชีวิตที่ผิดพลาดที่ผ่านมาทำให้ปัจจุบันของเขาเฉยชากับอิสตรีแล้ว แต่เมื่อรู้สึกว่าข้างกายมีใครคนหนึ่งก้าวมายื่นใกล้ๆ ด้วยอาการสั่นน้อยๆ ก็ทำให้เขาค่อยๆ หันไปมองตั้งแต่ปลายเท้าเรื่อยขึ้นตามเนื้อผ้าสีเขียวสดสวยที่แนบลู่ไปกับลำตัวที่เต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งที่แสนยวนใจ แต่สิ่งที่ดึงสายตาของเขาให้ตะลึงงันไปคือใบหน้าที่แสนคุ้นเคยและดวงตาสีเขียวดุจมรกตน้ำงาม