เมอริอาร์ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร้องแล้วถอยหลังช้าๆ อย่างเบาที่สุด แต่เจ้าสิงโตก็เดินเข้ามาใกล้ที่ละก้าว ที่ละก้าว
เมอริอาร์สะดุดประสานสายตากับสิงโตที่เข้ามาอย่างไม่กะพริบตา ทำให้เท้าของเธอสะดุดก้อนหินล้มหงายท้องหลังกระแทกพื้น เป็นจังหวะให้เจ้าสิงโตกระโจนเข้าใส่ตะครุบเธอเข้าทันที!
“ว้าย”
“นาฟ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เจ้าสิงโตหนุ่มชะงักแล้วหันไปมองอย่างหงุดหงิด มันแกว่งหางไปมาราวกับจะบอกว่านี่เป็นเพียงการหยอกล้อเท่านั้น มันยกเท้าหน้าที่เกาะไหล่ของหญิงสาวออกแล้วเดินวนไปวนมาส่งเสียงครางในลำคอเหมือนแมวส่งเสียงรำคาญที่ถูกขัดขวางการเล่นสนุก
“เจ้านี่มันช่างเกเรจริงๆ” บุรุษหนุ่มในชุดคลุมมีผ้าปิดครึ่งหน้าบ่นกับสิงโตหนุ่มที่เคยเป็นอริกันมาก่อน แต่เมื่อสืบเท้าไปใกล้มันกลับยืนขวางหญิงสาวราวกับจะปกป้อง ดวงตาสีสนิมหรี่มองแล้วส่ายหน้าไปมา
“เจ้านี่มันชอบผู้หญิงสวยเสียจริง”
เมอริอาร์ลุกขึ้นนั่งแล้วหอบหายใจแรง เธอจ้องมองชายร่างใหญ่ที่เข้ามาช่วยชีวิตเธอ แต่เจ้าสิงโตตัวเขืองกลับกลายทำตัวราวกับแมว เดินวนมาที่ตัวเธอแล้วใช้หัวดันแก้มเธอเบาๆ เหมือนหยอกล้อ
“มันชื่อนาฟ..เป็นพระสหายของฟาโรห์เนเฟอร์คาเร”
ชายหนุ่มแนะนำแล้วโบกมือไล่เจ้าสิงโตซึ่งมันก็เดินจากไปอย่างง่ายดาย
“เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรเจ้าคะ ข้าแค่ตกใจเท่านั้น” เธอมองตามร่างสิงโตขี้เล่นที่เดินจากไปแล้ว แต่แล้วเธอก็ต้องตกใจซ้ำรอบสองเมื่อจู่ๆ บุรุษแปลกหน้าก็อุ้มเธอขึ้นราวกับเธอเป็นขนนก
“ท่านจะทำอะไรข้า”
“พยุงให้เจ้าลุกขึ้น” ดวงตามีแววหยอกล้อแล้วปล่อยให้หญิงสาวยืนด้วยตนเอง แต่มือยังจับไหล่สองข้างของเธออยู่
“ขอบคุณเจ้าค่ะแต่ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เขาจ้องมองดวงตาสีมรกตเหมือนช่างใจว่าจะเอ่ยถามดีหรือไม่ แต่เขาก็รู้สึกถึงการมาของใครคนหนึ่งจึงก้มศีรษะให้หญิงสาวเล็กน้อย
“ข้าขอตัวก่อน”
“ท่าน! เอ่อ...” เมอริอาร์ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไรได้มากไปกว่านี้ร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวเดินหายลับไปในพุ่มไม้ พร้อมกับเสียงการร้องเรียกชื่อเธอจากด้านหลัง
“ท่านหญิงเมอริอาร์มาหลบอยู่ตรงนี้เองหรอกหรือ? ข้าก็ตามหาเสียเมื่อย” ไลน์ร่าเอ่ยขึ้นแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ขออภัย ข้าแค่เบื่อๆ ที่ต้องอยู่ในห้องจึงลงมาเดินเล่นที่นี่โดยมิได้ขออนุญาตเสียก่อน” เมอริอาร์เอ่ยจากใจจริง
“หม่อมฉันมิได้หมายถึงเช่นนั้น” ไลน์ร่าโคลงศีรษะ “เชิญทางนี้เถิดพระมเหสีประทับรอพบท่านหญิงอยู่”
“พระมเหสีรอพบข้าหรือ” เมอริอาร์ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที แต่กระนั้นก็ก้าวเท้าตามแผ่นหลังของไลน์ร่าซึ่งเป็นหญิงรับใช้คนสนิทของพระมเหสี
หญิงสาวเดินตามร่างนางกำนัลคนสนิทของพระมเหสีไปแล้ว ชายหนุ่มที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้จึงปรากฏกายอีกครั้ง แล้วมือใหญ่ก็ดึงผ้าที่ปกปิดครึ่งหน้าลง ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความแปลกใจ
‘ไยนางจึงมาอยู่ที่นี่เป็นไปได้อย่างไร’
อูเซอร์คาเรยกมือขึ้นแตะบาดแผล เขาแค่นึกอยากออกมาสูดอากาศข้างนอกแต่ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องนี้เข้า เขาไม่รู้ว่าควรยิ้มหรือว่าถอนใจดี นี่ปวงเทพกำลังเล่นตลกสิ่งใดกับชีวิตของเขาอยู่หนอ
“ท่านอย่าเพิ่งได้หวาดกลัวไปก่อนเลยเพคะ” ไลน์ร่าแอบหัวเราะ แล้วเดินนำไปที่มุมหนึ่งของอุทยานซึ่งมีพระมเหสีอังค์เนสและพระโอรสอโมนีวิ่งไล่จับแมลงปออย่างสนุกสนาน ในขณะที่อมุน-มินนั่งบนตักของพระมารดา ช่างเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจยิ่งนัก
“ท่านหญิงเมอริอาร์มาแล้วเพคะ” ไลน์ร่ารายงาน “หม่อมฉันต้องขออภัยที่เข้ามาในอุทยานโดยมิได้ขออนุญาตก่อนเพคะ”
เมอริอาร์ยอบตัวลงและก้มหน้าไม่กล้าสบเนตรของพระมเหสี แล้วจู่ๆ เธอก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งแตะที่เรือนผมพอจะขยับก็ถูกเสียงเล็กๆ ดุเข้าให้ก่อน
“อย่าขยับนะ!” อโมนีสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดแล้วยื่นมือไปจับแมลงปอที่เกาะเรือนผมของเมอริอาร์อย่างเบามือที่สุด
“เจ้านี่ช่างเอาแต่ใจตนเองจริงๆ อโมนี” มเหสีอังค์เนสส่ายพระพักตร์ไปมา “เชิญท่านหญิงนั่งให้สบายเถิด ข้ามิได้มีธุระอันใดสำคัญนักหรอกแค่อยากไถ่ถามความเป็นอยู่ของท่านหญิง”
เมอริอาร์นั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ กัน “ด้วยน้ำพระทัยขององค์ฟาโรห์และพระมเหสี หม่อมฉันสบายดีเพคะ”
“แต่สีหน้าท่านหญิงไม่ค่อยดีนัก ยังเหนื่อยกับการเดินทางอยู่รึ”
“ไม่เพคะ...หม่อมฉันมิได้เป็นอะไร” เธอยกมือแตะแก้มตัวเองเบาๆ ไม่รู้ว่าซีดเซียวเพราะอยู่แต่ในห้องไม่ได้โดดแดดหรือเปล่า?
“ข้าก็อยากให้ท่านหญิงอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข”
“หม่อมฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อบ้านเกิดของหม่อมฉันเป็นสุขเพคะ”
“ท่านหญิงอยากเป็นสนมขององค์ฟาโรห์หรือเพคะ” ไลน์ร่าอดถามออกมาไม่ได้
“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันมิอาจเอื้อมคิดเช่นนั้น” เมอริอาร์ทรุดลงไปนั่งกับพื้น “หม่อมฉันแค่เป็นห่วงผู้คนในเผ่าก็เท่านั้นเองเพคะ หม่อมฉันไม่เคยคิดจะแข่งพระบารมีของพระมเหสีแม้แต่น้อย”
“ข้าเข้าใจ ท่านหญิงอย่าได้คิดมากเลย คนของข้าเองก็ปากเร็วไปหน่อย” มเหสีอังค์เนสหันไปดุไลน์ร่าเบาๆ “เจ้าคงรู้ว่าข้าเคยเป็นสามัญชนเช่นเจ้ามาก่อนเพียงแต่องค์ฟาโรห์เห็นว่าเจ้ายังเยาว์นัก...จึงไม่อยากกักขังเจ้าไว้”
“แต่....”
“เผ่าของเจ้าซื่อตรงต่อบัลลังก์อียิปต์เพียงไรมีแต่เจ้าเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด แม้ว่าเจ้าจะถวายตัวให้องค์ฟาโรห์แต่หากมีจิตใจคิดทรยศก็ไม่อาจช่วยอะไรได้”
“แต่ทุกคนในเผ่าของหม่อมฉันยอมตายถวายชีวิตเพื่อบัลลังก์อียิปต์ แต่เหล่ามหาเสนาบดีรุ่นเก่าไม่คิดเห็นเป็นเช่นนั้น”
“นั่นเป็นเรื่องที่ข้าก็รับรู้มาเช่นกัน” มเหสีอังค์เนสเหลียวมองรอบข้างเมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้อื่นนอกจากลูกๆ และหญิงรับใช้คนสนิทแล้วจึงแย้มสรวลออกมา
“ขอให้ข้าพูดแทนฟาโรห์ก็แล้วกัน พระองค์มิได้ปรารถนาในตัวท่านหญิง พระองค์เชื่อใจเผ่าของเจ้าได้ แต่พระองค์ก็มิทรงเห็นด้วยที่จะรับเจ้ามาไว้เป็นนางสนม”
“แล้วหม่อมฉันควรทำเช่นไรเพคะ บิดาของหม่อมฉันไม่มีบุตรชายมีเพียงหม่อมฉันเท่านั้น”
พระมเหสีอังค์เนสรู้สึกชอบนิสัยตรงไปตรงมาของเมอริอาร์ยิ่งนัก และหากสายพระเนตรไม่ผิดเพี้ยน พระนางก็เชื่อว่าหญิงสาวผู้แสนอ่อนหวานผู้นี้มีความจริงใจและจงรักภักดีอย่างเต็มเปี่ยมไม่แพ้บุรุษใด
“ท่านหญิงมีใครในใจอยู่หรือเปล่าเมอริอาร์”
“เอ่อ...” หญิงสาวงุนงงกับคำถามนั่น “พระมเหสีหมายถึง...”
“เจ้ามีคนรักหรือไม่”
“มะ...ไม่...ไม่มีเพคะ” แม้ว่าจะสนิทสนมกับโมเลสแต่เธอก็รู้ดีแก่ใจว่าไม่เคยคิดอื่นใดกับเขามากไปกว่าพี่ชายเท่านั้น แต่หัวใจกลับเต้นแรงเพราะคิดถึงใบหน้าคมยามหลับใหลแม้จะมองเห็นในคืนเดือนมืดก็ยังเห็นความสง่างามและแผงอกกำยำ เธอเป็นอะไรไป? ไยคิดถึงชายผู้นั้นแล้วจิตใจหวั่นไหวเช่นนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว” มเหสีพยักพระพักตร์รับ “เย็นนี้จะมีงานเลี้ยงท่านหญิงต้องไปด้วยล่ะ อ้อ...ท่านหญิงไม่มีหญิงรับใช้ติดตามมาด้วยใช่ไหม”
“เพคะ แต่หม่อมฉันดูแลตัวเองได้”
“ไม่เป็นไร ไลน์ร่าช่วยหาคนที่ไว้ใจได้เป็นเพื่อนเมอริอาร์หน่อยก็แล้วกัน”
“ได้เพคะพระมเหสี” ไลน์ร่ารับคำอย่างรู้หน้าที่
“อยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด ถ้าเจ้าอยากเที่ยวชมอุทยานข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่ข้าหวังใจอย่างยิ่งว่าจะได้พบเจ้าในงานเลี้ยงด้วยความเต็มใจ”
“ขอบพระทัยเพคะ”