บทที่12. ทำหน้าที่สามี

1389 คำ
เสียงดนตรีจากด้านนอกเบาเสียงลงเมื่ออูเซอร์คาเรปิดบานประตูลง ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรมทุกอย่างด้วยดี เขาปล่อยให้เจ้าสาวเข้ามาในห้องนอนก่อนเขานานแล้วป่านนี้คงหลับเพราะความอ่อนเพลีย ชายหนุ่มปลดเครื่องประดับออกแล้ววางไว้บนโต๊ะแต่เขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังจึงหันไปมอง แม่ทัพหนุ่มหรี่ตามองเรือนร่างงดงามในชุดนอนบางเบาสีขาวสะอาดตา ยามเมื่อต้องแสงตะเกียงกลับทำเรือนร่างนั้นแจ่มกระจ่างจนเกือบลืมหายใจ “เจ้ายังมินอนอีกหรือ” อูเซอร์คาเรเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ข้ารอท่าน” มือเรียวเล็กกำชายผ้าแน่นข่มความเขินอาย    หลังจากเจย์นามาส่งและช่วยจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าถอดเครื่องประดับออกให้       หัวใจเธอก็เต้นแรงด้วยการรอคอย  คราแรกเธอรั้งเจย์นาให้อยู่เป็นเพื่อนแต่ก็ถูกปฏิเสธ แน่ละเธอรู้เหตุผลนั้นดีอยู่แล้ว ต่อมาเธอก็เริ่มหาอาวุธที่พอจะใช้ป้องกันตัวได้ แต่เมื่อมาคิดถึงกริชที่เคยใช้แทงเขาแล้วก็ได้แต่กุมขมับด้วยความปวดหัว ขนาดใช้กริชแทงเขาแล้วเขายังปลอดภัยดีเธอจะใช้อะไรได้อีก ความวุ่นวายสับสนมีมากนัก และค่อยๆสงบลงเมื่อต้องอยู่คนเดียวในห้องที่หอมกลิ่นกำยานหากนี่เป็นลิขิตของปวงเทพเจ้าเป็นโชคชะตาที่หนีไม่พ้น เธอก็ต้องทำใจกล้าที่จะเผชิญมันเมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้วเธอจึงได้แน่นั่งรอเขา  แต่เขาหายไปนานจนเธอคิดว่าเขาจะไม่เข้ามาในห้องนี้อีก ดวงตาของเขามีประกายรื่นเริงก่อนสืบเท้าเข้าไปใกล้ เขาชอบกลิ่นหอมของดอกมะลิป่าที่ลอยกรุ่นรายล้อมหญิงสาวเช่นนี้นัก “ข้าคิดว่าเจ้าคงเพลียกับพิธีในวันนี้จนหลับไปแล้ว” “ข้าก็คิดว่าท่านจะไม่กลับเข้ามาแล้วเหมือนกัน” เธออดทำแง่งอนกับเขาไม่ได้ “ข้าแค่อยู่สั่งการให้คนของข้าจัดมอบสินสอดไปให้บิดาของเจ้าร่วมทั้งทาสรับใช้ด้วย”  “ท่านมิต้องทำขนาดนั้นก็ได้”        “มันเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องทำให้สมเกียรติของเจ้า” ดวงตาของเขามองตามมือเรียวเล็กที่ยื่นมาแตะอกของเขาอย่างขลาดๆ “ข้าจะช่วยท่านเปลี่ยนเสื้อผ้า” “ข้าทำเองได้” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า “เจ้าคงลืมไปว่าข้าเป็นทหาร” “ข้าทราบดีเรื่องนั้น แต่นี่เป็นหน้าที่ของภรรยาซึ่งขณะนี้ข้าคือภรรยาของท่าน” เมอริอาร์ได้กลิ่นไวน์จากลมหายใจของเขา “หน้าที่ของภรรยา” อูเซอร์คาเรกลั้นหัวเราะ “หน้าที่ของภรรยามีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น” “ว้าย!”   เมอริอาร์หวีดร้องอย่างตกใจเมื่อร่างเล็กๆ ถูกช้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว เท้าของเธอเตะไปมาอากาศแต่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้เลย  เขาวางร่างของเธอลงบนที่เตียงมีผ้าปูที่นอนสีขาวปูไว้รองรับร่างคู่บ่าวสาว มือใหญ่ของชายหนุ่มรวบข้อมือของเธอไว้เหนือศีรษะแล้วโถมร่างใส่ทันที “ท่านจะทำอะไร!” “ก็ทำหน้าที่ของสามีไง”   เขาหัวเราะในลำคอแล้วใช้มืออีกข้างกระชากเสื้อผ้าของหญิงสาวหลุดติดมือออกอย่างง่ายดาย  “ไม่นะ” เมอริอาร์หวีดร้องพยายามดิ้นรนขัดขืน  แต่กลับถูกร่างใหญ่ใช้ร่างกายกดทับจนเธอแทบหายใจไม่ออก อกอิ่มเบียดชิดแผงอกแข็งแกร่ง ใบหน้าของเขาคลอเคลียที่เนียนแก้มที่พยายามเบี่ยงหน้าหลบสัมผัสหยาบคายแต่เร่าร้อนของชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอ “ทำไมข้าจะทำไม่ได้” เสียงเขาแหบพร่าอยู่ข้างหู ยิ่งหญิงสาวดิ้นรนมากเท่าใดก็ยิ่งบดเบียนเรือนกายเข้าหาเขาอย่างไม่รู้ตัว “ข้าไม่คิดว่าท่านจะหยาบคายเช่นนี้”           “ก็เจ้าเรียกร้องหน้าที่ของภรรยาไม่ใช่หรือ” เขาปล่อยมือออกจากข้อมือเล็กๆ แล้วเลื่อนมาลูบไล้เรือนร่างอิ่มที่แสนเย้ายวน “ข้าขอทวงสัญญาที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้า” ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างอย่างตกใจ   เขาทาบริมฝีปากลงครอบครองริมฝีปากที่เผยอขึ้นเพียงเรียกหาอากาศ     มือข้างหนึ่งประคองท้ายทอยให้รับจุมพิตร้อนจากเขาและมืออีกข้างตลบชายกระโปรงขึ้นลูบไล้ต้นขาด้านในแล้วไต่ระเรื่อสูงขึ้นเรื่อยๆ ‘หยาบคายที่สุด!’ เมอริอาร์กรีดร้องในใจ เธอเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเป็นภรรยาของเขาแล้วแต่ไม่คิดว่าเขาจะกระทำการอันหยาบช้าเช่นนี้! มือที่เป็นอิสระกางเล็บข่วนแผงอกอีกฝ่ายอย่างไม่คิดสิ่งใดอีกนอกจากหลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายนี้    “อ๊ะ!” เมอริอาร์หยุดการกระทำของตัวเองเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของชายหนุ่ม เขาขยับตัวถอยห่างมือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมบริเวณแผลที่เธอเป็นคนทำ     หญิงสาวยกฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวขึ้นดูแล้วก็แทบหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นเลือดสีเข้มเปรอะปลายนิ้ว            อูเซอร์คาเรดึงผ้าปูที่นอนที่มีรอยเลือดออกแล้วเดินไปที่ระเบียง เขาโบกผ้าเปื้อนเลือดไปมาให้เหล่าทหารที่อยู่กินดื่มฉลองงานวิวาห์ของเขาเห็น เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้นและเสียง ดนตรีก็โหมกระหน่ำอย่างครื้นเครง อูเซอร์คาเรเดินกลับมาด้านในพยายามที่จะไม่แสดงอาการเจ็บที่บาดแผลของตนเอง เขาอยู่กับเหล่าทหารซึ่งคนในการปกครองของเขาส่วนใหญ่เป็นพวกเบดูอิน บางครั้งการทำบางสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกันก็ได้ใจของเหล่าทหารได้มาก ซึ่งสิ่งที่เขาทำไปก็เป็นประเพณีของชนเผ่าทะเลทราย เป็นการประกาศความเป็นเจ้าของหญิงสาวที่เป็นภรรยาของตนและบอกว่าเธอเป็นหญิงพรหมจรรย์ เมอริอาร์นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงนอนเธอขยับตัวละลุกขึ้นเดินทางทางเขา แต่เมื่อรู้สึกว่าเสื้อผ้าตัวเองหลุดลุ่ยเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ทั้งแบบนั้น มือเรียวคว้าเอาผ้าห่มขึ้นคลุมร่างแล้วเดินไปประคองร่างใหญ่ที่เดินซวนเซกลับมาด้านใน แต่เธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแววตาอ่อนโยนของเขาทอดมองมายังร่างที่ห่อหุ้มด้วยผ้าห่ม แววตาของเขามีแววขบขันปนอยู่ต่างจากเมื่อครู่ที่ดูดุร้ายราวสัตว์ป่า  มือใหญ่ยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่เปื้อนแก้มอย่างเบามือ “อย่ากังวลไปเลย ข้าจะบังคับฝืนใจเจ้าในสิ่งที่เจ้าไม่ปรารถนา”          เธอยื่นมือไปแตะแผลของเขา  “ข้าจะทำแผลให้ท่านใหม่”   “ไม่เป็นไรแรงของเจ้าไม่ได้ทำให้แผลเก่ามันลึกไปกว่าเดิมหรอก” เขาหัวเราะน้อยๆ แล้วเดินไปนั่งที่เตียง  เมอริอาร์ส่ายหน้าไปมา เธอเดินไปหาผ้ามาซับเลือดจนมั่นใจว่าหยุดไหลแล้วจึงไปล้างมือ “ทำไมเมื่อครู่ท่านไม่บอกข้า” “เพราะข้าไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องบอก” เขาเอนตัวลงนอนบนที่นอนอีกครั้ง “เจ้าก็มานอนเถิด รับรองว่าข้าไม่นอนดิ้นทับเจ้าแบนแน่ๆ” “ข้า...ข้าจะไปนอนที่อื่น”  หญิงสาวหันรีหันขวางมองหาที่นอนของตนเอง แต่ข้อมือก็ถูกฉุดอย่างรวดเร็วจนเสียหลักล้มลงปะทะอกกว้างที่นอนหงายอยู่ก่อนแล้ว “ท่าน!” “เจ้าก็นอนข้างข้านี่แหละ” เขายิ้มขำ “พักผ่อนเถิดวันนี้เจ้าเหนื่อยทั้งวันแล้วและพรุ่งนี้เราต้องเดินทางแต่เช้าตรู่” “เราต้องรีบกลับค่ายทหารหรือเจ้าคะ” เธอเอ่ยถามเบาๆ แล้วขยับตัวลงนอนข้างชายหนุ่มที่นอนหลับตานิ่งคล้ายไม่รู้สึกรู้สาว่ามีเธอล้มตัวนอนอยู่เคียงข้าง และการได้พูดคุยเรื่องอื่นทำให้เธอไม่คิดถึง ‘เรื่องนั้น’ จนอาจทำให้ไม่ได้หลับได้นอนอีกก็เป็นได้ “เจ้าอยากอยู่ที่นี่หรือ?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม