CHAPTER 3
ร้านอาหาร
พนักงานผายมือไปยังโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกลางด้านริมในสุด เว้นระยะห่างจากโต๊ะอื่นประมาณหนึ่งเมตร ที่นั่งเป็นโซฟาสีน้ำตาลเข้ม เข้าชุดกันดีกับโต๊ะอาหาร ผมค้อมศีรษะเล็กน้อยให้พนักงานแล้วเลือกนั่งที่โซฟาฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งไว้ให้คนที่ขึ้นชื่อว่า ‘แฟน’ นั่ง
นั่งรออยู่สักพักอีกฝ่ายก็ยังมาไม่ถึง ผมหยิบสมาร์ตโฟนออกมาไม่เห็นว่ามีแจ้งเตือนใด ๆ ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เบื่อที่ต้องมานั่งรอแบบนี้ แค่มาเจอก็ไม่อยากมาแล้ว และนี่ดันต้องมานั่งรออีก ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นก็น่าจะส่งข้อความมาบอกกันสักหน่อย
ผมโคลงศีรษะเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไปร่วม 20 นาทีแล้ว นั่งนานจนพนักงานมองมาหลายครั้ง ผมก็เขินเขาเป็นเหมือนกันนะ ผมเลือกที่จะหยิบธนบัตรสีม่วงออกจากกระเป๋าสตางค์มาหนึ่งใบ ตั้งใจจะยื่นให้พนักงานแล้วเดินออกจากร้าน
แต่ธนบัตรใบนั้น กลับถูกดึงไปจากมือ คนที่ดึงเงินไปหย่อนสะโพกนั่งลง กระเป๋าสะพายวางข้าง ๆ ตัว เธอเก็บเงินใส่กระเป๋าแล้วขอเมนูจากพนักงาน
“ฉันจะฟ้องแม่ว่าเธอมาสาย” ผมเอ่ยออกมาสียงเรียบ อีกฝ่ายทำหูทวนลมแล้วหันไปสั่งอาหาร เธอไม่ถามผมสักคำว่าอยากกินอะไร หรืออยากสั่งอะไร แต่ก็ยอมรับนะว่าอาหารที่เธอสั่งมีแต่ของชอบของผมทั้งนั้น โดยเฉพาะไข่เจียวปู
“ชื่อน้ำผึ้งนะ” เธอแนะนำตัว ผมกลอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
“พูดเรื่องมาสายก่อนไหม นัดเจอครั้งแรกก็มาสายซะแล้ว”
“ป้าพรเป็นคนบอกให้ฉันมาเที่ยงครึ่ง นี่ฉันมาก่อนเวลานัดด้วยซ้ำ นายยังจะมาว่าฉันอีกเหรอ” คนตรงข้ามชักสีหน้าไม่พอใจ เธอเอนตัวให้หลังพิงกับโซฟาแล้วยกแขนขึ้นกอดอก
“แม่นัดเที่ยงตรง ไม่เชื่อก็ดู” ผมพูดพลางจิ้มหน้าจอสมาร์ตโฟนของตัวเอง แล้วยื่นไปตรงหน้ายัยเด็กนั่น
“ฮึ” ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มร้าย เธอลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งข้าง ๆ
ผมขยับหนีจนตัวชิดกับผนังไม่รู้จะหนีไปทางไหนได้อีก
เรียวขาขาว ๆ ยกขึ้นไขว่ห้าง ผมละสายตาจากขาเรียวยาวมามองใบหน้าจืดชืดของเธอแทน เธอส่งสมาร์ตโฟนมาให้ผม ใบหน้ายิ้มหยันอย่างไรชอบกล
‘ไปที่ร้าน 12.00 นะ แม่จองโต๊ะให้แล้ว แกไปบอกชื่อกับพนักงาน
ได้เลย’ ก็เที่ยงนี่หว่า แล้วยัยเด็กนี่ทำไมทำหน้ามั่นใจว่าเที่ยงครึ่งล่ะ
ผมเลื่อนอ่านเรื่อย ๆ มีข้อความหนึ่ง ‘เลื่อนเป็น 12.30 นะ แม่บอกเวลาผิด’ ผมถลึงตาใส่ข้อความนั้นก่อนจะลูบหน้าตัวเองแรง ๆ แม่เล่นส่งเข้ามาช่วงที่กำลังบ่นเรื่องพ่อ ผมไม่ได้ใส่ใจที่แม่ส่งมา พอเห็นว่าแม่หยุดส่งข้อความมาแล้ว ผมก็แค่ส่งสติ๊กเกอร์หน้าเศร้าไป ให้ดูเหมือนว่าผมรับรู้แล้ว ทั้งที่ผมแทบไม่ได้อ่าน ทำให้ผมพลาดเรื่องเวลาไป
“ขอโทษสิ” เสียงใสจากคนข้างกาย ผมหันไปถลึงตาใส่แล้วโบกมือไล่ให้เธอกลับไปนั่งที่เดิม
คนตัวเล็กหัวเราะร่าแล้วลุกไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามกับผม เธอสวมเสื้อยืดตัวใหญ่ กระโปรงยีนสีซีด และรองเท้าผ้าใบ ไม่ได้เห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน รู้แค่เพียงว่าผอมมาก
“เวลาสั่งอาหารนี่ถามคนอื่นด้วยนะว่าอยากกินอะไร” อบรมกันหน่อย หากไม่พูดอะไรเลยก็คงทำแบบนี้ในครั้งต่อไปอีกแน่
“นายอยากให้ฉันใส่ใจนาย?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง
“ไม่ใช่แบบนั้น คือมันเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปเขาทำกันน่ะ”
“แต่ฉันพิเศษไง พิเศษสำหรับนาย” เธอพูดแล้วยกมือขึ้นปิดปากกลั้นขำ แม้จะเพิ่งได้มานั่งพูดคุยกันครั้งแรก และได้แชตคุยกันไม่กี่ครั้ง แต่ก็พอจะสัมผัสได้ว่ายัยเด็กนี่กวนประสาทไม่น้อยเลย ที่เธอพูดมาเมื่อกี้ก็ไม่ใช่ว่าจะหยอดมุกจีบผมหรอก ผมดูออก!
“ฟังแล้วกินข้าวไม่ลง” ผมทำท่าโก่งคอจะอ้วก แม้อาหารที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟจะน่ากินมาก ๆ ก็ตาม
“ฉันกินก่อนก็แล้วกัน หิวแล้ว” เธอพูดหน้าตาเฉย ไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด ตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ
ผมมองหน้าคนตรงข้ามพลางคิดว่าปัจจุบันผมอายุเท่าไหร่กันแน่ ถ้านับจากวันเดือนปีเกิดก็ยี่สิบปีนิด ๆ แต่ถ้านับจากถูกแม่เร่งรัดให้มีแฟนจนถึงขั้นหาผู้หญิงมาให้ อายุก็คงราว ๆ สามสิบเห็นจะได้
นึกแปลกใจว่าทำไมเธอถึงต้องรีบมีแฟนทั้งที่อายุยังน้อย แม้หน้าตาจะดูธรรมดา แต่ผิวพรรณและของใช้แต่ละอย่าง ไม่ว่าจะสมาร์ตโฟน หรือกระเป๋าที่สะพายมา แล้วไหนจะไปจ่ายเงินซื้อรถให้คนอื่นอีก บ่งบอกได้ชัดเจนเลยว่ามีฐานะ ครอบครัวของเธอไม่น่าจะขัดสนจนต้องมาหวังเงินจากครอบครัวของผม
ระหว่างที่รอเธอกิน ผมนั่งโดยที่ใช้แผ่นหลังอยู่แทนที่ก้น แทบจะมุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะ ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ไม่อายสายตาผู้คนรอบข้าง คิดว่าคนตรงหน้าจะอายแทน แต่เธอกลับกินต่อได้อย่างเอร็ดอร่อย ไม่ได้สนสายตาใครทั้งนั้น
“นี่” ผมเตะเข้าที่ขาเรียวเล็กเบา ๆ ให้คนที่ผมเรียกรู้สึกตัว
“เธอ” ผมเรียกอีกครั้ง
คนตัวเล็กที่เพิ่งตักข้าวเข้าปากวางช้อนลง เธอยกคิ้วขึ้นสูงเป็นเชิงถาม
“อายุเท่าไหร่” ผมถาม
“จะยี่สิบแล้ว”
หัวคิ้วของผมขยับย่นเข้าหากันด้วยความงง แม่บอกผมว่าเธอเด็กกว่า แต่ทำไมอายุพอ ๆ กับผมล่ะ มุมปากของเธอกระตุกยิ้ม รอยยิ้มแบบนี้ชักแปลก ๆ เสียแล้วสิ
“อีกปีครึ่งก็จะยี่สิบแล้ว” เธอบอก
กวนตีนว่างั้นเถอะ…แทนที่จะบอกว่าสิบแปดกว่า ๆ ดันบอกว่าจะยี่สิบ นี่แม่ส่งใครมาให้ผมวะเนี่ย
ผมนั่งดูยัยเด็กนี่กินจนอิ่ม ไม่รู้ไปหิวโหยมาจากไหนถึงได้เอาแต่กิน เห็นเธอรวบช้อนส้อมคู่กันอย่างเป็นระเบียบ ผมเลยเรียกพนักงานมาเพื่อที่จะจ่ายเงิน
“ขอเมนูหน่อยค่ะ” เมื่อพนักงานเดินมาถึง คนที่นั่งตรงข้ามกับผมก็เอ่ยออกมา ผมหันขวับไปมองหน้า อาหารที่อยู่บนโต๊ะนี่ไม่พอกินหรือไง
“อิ่มได้ละ”
“ของหวานล่ะ” ดวงตาคู่สวยมองผมอย่างดุ ๆ ผมได้แต่กลอกตาไปมาแล้วรอเธอสั่งของหวานมากิน ท้องของผมเริ่มร้องประท้วง หิวก็หิว แต่ไม่อยากกินข้าวกับยัยนี่ ได้แต่ทนหิวต่อไป
หลังจากที่เธออิ่มหนำสำราญ คาวหวานครบ เธอก็ลุกเดินออกไป
ไม่เรียกพนักงานมาเก็บเงิน ไม่พูดไม่จาไม่อะไรทั้งนั้น ท่าทางแบบนี้ เธอเองก็คงไม่อยากจะยุ่งกับผมสักเท่าไหร่
ระหว่างที่รอเงินทอน ผมหันไปมองทางด้านหลัง ไม่มีวี่แววของเด็กนั่น ผมเลยหยิบช้อนที่แสนสะอาดไม่มีคราบอาหารติดอยู่แม้แต่น้อยจากจานของผม ตักปลาสามรสเข้าปาก แม้อาหารจะเย็นไปสักหน่อย แต่ก็ยังคงความอร่อยอยู่
“ทิปค่ะ”
ผมไม่ได้สนใจเสียงนั้น ยังคงเอาแต่ตักอาหารกินอย่างรีบร้อน ช่วงที่รอเงินทอนนี่ต้องกินเพื่อบรรเทาความหิวให้ได้มากที่สุด
เริ่มเอะใจว่าทำไมถึงนานขนาดนี้ พนักงานไปเบิกเงินที่ธนาคารเพื่อมาทอนเงินให้ผมหรือเปล่า ผมชะเง้อมองหาพนักงานคนนั้น เมื่อเจอเข้าก็ยกมือขึ้นเรียก
“เงินทอนล่ะครับ”
“น้องผู้หญิงบอกให้ทิปนี่คะ ก็เลยเอาใส่กล่องทิปไปแล้วค่ะ” พนักงานตอบกลับอย่างงง ๆ ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งไปให้ แล้วรีบลุกจากโต๊ะ เดินออกไปหายัยตัวแสบที่ยกเงินของผมให้คนอื่นหน้าตาเฉย ผมไม่ได้งกนะครับ แต่จะให้อะไรใครก็ควรบอกเจ้าของก่อนไหม?
“อร่อยปะ” เธอเห็นหน้าผม เธอก็เอ่ยถาม
“อร่อย”
แล้วกูจะตอบทำไมวะ
ผมตบปากตัวเองเบา ๆ ลงโทษตัวเองที่เผลอตอบกลับไป เมื่อผม
ดึงอารมณ์ที่คิดจะต่อว่าเธอได้ ผมก็เท้าเอวด้วยท่าทางโมโห
“ต้มยำเปรี้ยวไปหน่อยเนอะ ท่าลดเปรี้ยวลงสักนิดจะอร่อยมากเลย”
“เปลี่ยนจากเปรี้ยวเป็นเผ็ดได้จะดีมาก”
ไอ้เวรเอ๊ย! กูจะตอบเขาเพื่อ?
ยิ่งเห็นเด็กนั่นยืนกลั้นขำ ผมยิ่งโมโหตัวเอง แทนที่จะต่อว่าเธอเรื่องเงินทอน แต่เสือกตอบเรื่องอาหารเสียงั้นแหละ
“ผัดผักนี่ดีมาก ผักไม่เละเลย”
“พอ!” ผมตวัดสายตาดุไปให้ ได้ทีนี่เอาใหญ่ แต่รอบนี้ผมไม่หลงกลแล้ว และไม่ต่อว่าแล้วด้วย อยู่เงียบ ๆ นี่ดีที่สุดแล้วล่ะ
ผมขึ้นนั่งประจำที่คนขับ สตาร์ตรถรออีกคนที่กำลังย่องมาที่รถ ระยะทางแค่ไม่กี่เมตร แต่กว่าจะเดินมาถึงนี่ช้ามากกกกก ไม่รู้ทำไมจะต้องย่องขนาดนี้
ที่รู้ ๆ คือ…กวนผมแน่นอน!
เธอขึ้นมานั่งข้าง ๆ หน้าตาระรื่นจนน่าหมั่นไส้ ผมแกล้งกระชากรถออกให้เธอหวาดเสียว แต่ไม่เลย…หน้าตาเธอดูเต้นตื่น แววตาเป็นประกายอย่างกับเด็กได้เข้าสวนสนุก
กูจะบ้า!
นี่ผมสามารถเอาคืนเธอด้วยวิธีไหนได้บ้าง?
“ให้ส่งที่ไหน” ผมถามขึ้นมา ที่ถามก็เพราะไม่มั่นใจว่าจะต้องไปส่งที่ไหน ที่บ้านผม หรือบ้านเธอ
“ถามใคร”
“ถามเธอไงยัยน้ำเน่า!” นั่งกันอยู่สองคนจะให้ถามใครวะ ถ้าผมต้องอยู่กับยัยนี่นานกว่านี้ ผมคงปวดหัวตาย
“ชื่อน้ำผึ้งค่ะพี่ภีม” เธอตอบกลับ ฉีกยิ้มกว้าง ๆ หลังจากที่พูดจบ
“ตกลงจะให้ไปส่งที่ไหน” ผมปรายตามองแล้วถามเสียงเข้ม
“พูดกับว่าที่เมียยยย” เธอลากเสียงยาวเหยียด ลอยหน้าลอยตาขณะพูด ก่อนจะพูดต่อ “ให้มันดี ๆ หน่อยสิคะ ผึ้งตกใจนะ” เธอกะพริบตาปริบ ๆ ทำสีหน้าไร้เดียงสา
ผมถอนหายใจออกมาหนัก ๆ วันนี้กูจะรู้ไหมว่าต้องไปส่งที่ไหน ไม่ได้คำตอบสักที!