“โอ๊ย! ฉันไม่ใจเสาะขนาดนั้นหรอกน่า กะอีแค่หมาตัวเดียว ฉันเอาอยู่น่า สบายมาก ฮ่าๆๆ ” มันคงเป็นเสียงหัวเราะที่ฝืดเฝื่อนที่สุด เมื่อเธอไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด
“แล้วเมื่อกี้ใครกันที่ทำท่ากลัวหมาจะเป็นจะตาย หรือจริงๆ แล้วเธอแค่หาข้ออ้างเพื่อลวนลามฉันมากกว่า” คนถูกกล่าวหาถึงกับกลอกตาไปมาทันที
“เหอะ! หลงตัวเองให้มันน้อยๆ หน่อย ถึงคุณจะหล่อรวยแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ย่ะ มีลูกมีเมียแล้วยังจะทำท่าชีกอกับผู้หญิงคนอื่นอีก ฉันล่ะเกลียดผู้ชายประเภทคุณที่สุดเลย”
“เธอจะบอกว่าฉันทำท่าชีกอใส่เธอ? หึๆ ฉันว่าคนที่หลงตัวเองน่าจะเป็นเธอมากกว่า แล้วจะบอกอะไรให้นะ…ฉันไม่ชอบหมากระเป๋า เพราะขนาดหมาที่ฉันเลี้ยงยังตัวใหญ่กว่าเธอเลย” มีนาถึงกับยืนกัดฟันกรอด ไม่เพียงแต่สบประมาท แต่พ่อคุณยังเอาเธอไปเปรียบเทียบกับหมาอีก แล้วหมาตัวนั้นก็ดันเป็นหมาที่เธอกลัวด้วย
“แล้วรู้ไหมว่าเวลาที่หมากระเป๋าโกรธ มันจะโหดกว่าไอ้หมาตัวโตๆ ของคุณมากแค่ไหน ไอ้ที่โดนกัดไปยังไม่เข็ดใช่ไหมหา” ในขณะที่เธอขู่เสียงเขียวพลางแยกเขี้ยวใส่ เขากลับเลื่อนสายไปจับจ้องที่ต้นคอเธอ แล้วรอยแดงๆ ที่ยังไม่จางไปก็ทำให้เขาต้องลอบกลืนน้ำลาย
“อืม! งั้นก็แล้วแต่เธอ แต่ถ้าถูกไอ้ลัคกี้กระโจนใส่อีก ก็อย่ามาร้องไห้ทีหลังแล้วกัน” ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้เขาต้องรีบพาตัวเองออกไป แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงเธอ
“เหอะ! ฉันเนี่ยนะร้องไห้ ไม่มีทางอยู่แล้ว เมื่อกี้ก็แค่ตกใจหรอก ตกใจน่ะรู้จักไหม ก็มันเล่นกระโจนมาแบบไม่ให้ตั้งตัว เป็นใครก็ต้องตกใจไหมเล่า โดยเฉพาะคนที่หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับหมามาหลายปีอย่างฉัน เจอระยะประชิดขนาดนั้น ไม่ช็อคตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว โอย! นึกแล้วยังขนลุกไม่หาย” ท้ายประโยคเธอแอบบ่นเบาๆ กับตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ เหลือบไปมองนักเรียนทั้งสองของตัวเอง
“อืม! มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ดูๆ ไป หมานั่นก็น่ารักดีออก” ราวกับรับรู้ว่าเธอกำลังชื่นชม เจ้าหมาตัวโตถึงกับเอียงหน้ามองแล้วยังทำท่าจะลุกมาหาอีก
“เฮ้ยๆๆ อย่าเข้ามานะเว้ย อย่างน้อยก็ขอเวลาให้ฉันทำใจอีกสักนิดสิ” เธอจ้องมันเขม็ง ขณะที่สองเท้าก็ค่อยๆ ขยับถอยอย่างระแวดระวัง กระทั่งเสียงเล็กๆ ดังขึ้น