5. กลับมาเยี่ยมแม่
แม้ตอนแรกจะไม่ได้ตั้งใจให้เขาเกิดมา แม้ลูกจะไม่ได้เกิดมาจากความรักและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร แต่นับจากฉันได้เจอกับเขาครั้งแรกฉันก็สาบานกับตัวเองแล้วว่าฉันจะเลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุด ไม่ทำให้เขารู้สึกเหมือนขาดความรักความอบอุ่นแม้ไม่มีพ่อ ถึงจะไม่ได้หวังให้ต้องเกี่ยวพันกันอีก แต่ฉันก็ขอบคุณคุณหมอผ้าเช็ดหน้าคนนั้นอยู่เสมอที่ฝากของมีค่าที่สุดไว้ให้กับฉัน ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน จะอยู่กับลูก กับภรรยา หรืออยู่กับใคร ฉันขอให้เขามีความสุขและมีชีวิตที่ดี เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ตั้งใจไข่ไว้แล้วทิ้งอย่างที่คนอื่นเข้าใจผิดกัน เขาแค่ไม่รู้และฉันก็ต้องการที่จะให้มันเป็นเช่นนั้นตลอดไป...
"แม่ขิมแทบจะรอดูวันที่ลูกโตไปเป็นนายกไม่ไหวแล้วนะเนี่ย"
"ชินจะไปเป็นนายกแย้วก็เป็นคูมหมอตรวจคนไข้ เป็นคูมหมอมานวดไหย่ให้คูมแม่ตอนคูมแม่เหนื่อยด้วย"
ว่าแล้วเจ้าคิ้วดกก็ตะกายลงจากเก้าอี้ไปยืนข้างฉันแล้วเอื้อมมือขึ้นมานวดแขนให้ฉันเบาๆ
"เก่งจังเลยนะตัวแค่นี้ แบบนี้แม่คงต้องรีบหาเงินเยอะๆ ไว้ส่งชินเรียนแล้วแหละ ชินหิวยังครับ จะหกโมงแล้วนี่นา"ฉันถามเมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะซึ่งบอกเวลาว่าเกือบจะหกโมงแล้ว
"ชินยังไม่หิวครับ ชินจากลับไปดูทีวีรอคูมแม่ทำงานเสร็จแย้วค่อยทานพร้อมกัน พรุ่งนี้ชินก็จะได้กลับไปหาคูมยายแย้ว ตื่นเต้นมากเยย"เด็กน้อยทำท่าทางตื่นเต้นก่อนจะวิ่งไปนั่งดูสารคดีของเขาเหมือนเดิม
ฉันยังคงหันไปมองเขาแล้วก็ยิ้ม ความสุขของฉันคือการได้เห็นเขามีความสุขจริงๆ เวลาเห็นเขามีความสุขแบบนั้นใจฉันมันฟู ฉันชักอยากรู้ว่าตอนที่ฉันยังเป็นเด็กเท่าชิน แม่กับพ่อฉันมีความรู้สึกอิ่มเอมใจแบบฉันในตอนนี้ไหม...หรือบางทีพ่อแม่ฉันอาจจะเหนื่อยเพราะได้ยินมาว่าตอนฉันเด็กๆ ฉันซนยิ่งกว่าลิงเสียอีก
พูดแล้วก็คิดถึงแม่กับพ่อจัง พรุ่งนี้ฉันจะพาลูกกลับไปหาแม่ที่บ้านในรอบสามปีเลยก็ว่าได้ ตอนฉันท้องใหม่ๆ ฉันกลับไปหาแม่ ไปเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังและกลับไปขอความคิดเห็นจากแม่ครั้งหนึ่ง แม่เองก็แนะนำให้ฉันเอาลูกไว้และบอกให้ฉันกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วแม่จะช่วยดูแลฉันกับลูกเอง แต่ ณ ตอนนั้นฉันก็ไม่อยากทำให้แม่ต้องเหนื่อยด้วยไง แม่ทำงานที่บ้าน ทำนาทำสวนขายขนมส่งฉันเรียนจนจบ แต่จบมาแล้วถ้าฉันยังต้องมาทำให้แม่ลำบากเลี้ยงดูทั้งฉันทั้งลูกโดยที่ฉันไม่ได้ทำงานไม่มีเงินเดือน ฉันคงจะรู้สึกว่าฉันเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องได้ราวมากๆ หลังจากนั้นฉันจึงกลับเข้ากรุงเทพฯมาดิ้นรนและสู้ด้วยตัวเองอีกครั้ง ตอนที่ชินคลอด แม่กับเขตน้องชายของฉันก็นั่งรถมาหาที่กรุงเทพฯครั้งหนึ่ง ฉันเป็นห่วงสุขภาพเพราะนั่งรถจากจังหวัดบ้านเกิดมากรุงเทพฯต้องใช้เวลาถึงสิบชั่วโมง จึงบอกไม่ให้แม่กับน้องมาอีก ฉันบอกแม่ว่าตอนชินโตพอที่จะนั่งรถนานๆ ได้หน่อยฉันจะเป็นคนพาลูกกลับไปหาเอง
กระทั่งตอนนี้ที่ชินก็สามขวบแล้ว อีกทั้งพอมีเงินให้นั่งเครื่องกลับไปได้โดยไม่ต้องนั่งรถอีกสิบชั่วโมง กะว่ากลับไปคราวนี้จะพาลูกอยู่กับคุณยายสักสองอาทิตย์ และคงจะกลับไปหาแม่บ่อยขึ้นจนกว่าจะถึงปีหน้าที่ฉันจะกลับไปอยู่ถาวรในตอนที่ชินเข้าอนุบาล ฉันกะจะพาชินกลับไปเรียนที่จังหวัดบ้านเกิดเพื่อที่จะได้อยู่ดูแลแม่ที่นับวันก็จะยิ่งแก่ลงเรื่อยๆ ถ้ากลับไปตอนนี้ฉันคงไม่ต้องกลัวว่าแม่จะอายคำพูดคำนินทาของใครอีกแล้ว ฉันมีงานอิสระให้ทำ มีเงินเดือนที่สามารถเลี้ยงแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงน้องให้อยู่ดีกินดีได้โดยไม่ต้องมามีใครว่าว่ากลับไปอาศัยแม่กินเหมือนกับแต่ก่อน ส่วนในปีนี้คงต้องอยู่ช่วยที่คาเฟ่ของบัวไปอีกสักปี แต่ก็โชคดีไปอีกอย่างคือเมื่อช่วงเดือนที่แล้วบัวจ้างพนักงานเข้ามาช่วยที่คาเฟ่เพิ่มขึ้นอีกคน ทำให้ตอนนี้ฉันสามารถลาหลายวันกลับไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดได้โดยไม่ต้องห่วงทางนั้นมาก
เช้าวันต่อมา
ฉันจูงมือเจ้าเด็กคิ้วดกซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคอกลมสีแดงกับกางเกงขาสั้นสีดำ ด้านหลังสะพายกระเป๋าของเล่นใบเล็กๆ ออกมาจากสนามบินเพื่อขึ้นแท็กซี่ที่มาจอดรับ
จังหวัดบ้านเกิดของฉันไม่มีสนามบินอยู่ในจังหวัด ดังนั้นถ้านั่งเครื่องจากกรุงเทพฯมาลงที่นี่ก็ต้องนั่งแท็กซี่ไปขึ้นรถตู้ที่บขส. แต่เพราะมันต้องต่อหลายเที่ยวและอาจจะต้องใช้เวลารอรถนานจนเกินไป ฉันจึงต้องยอมควักเงินสองพันเพื่อเหมาแท็กซี่ให้ขับไปส่ง
ใช้เวลาเดินทางชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งเป็นบ้านที่ฉันคิดถึง แต่ไม่ได้กลับมานานถึงสามปี
"แม่คะ ขิมกลับมาแล้ว...มาดูซิว่าขิมพาใครมาด้วย"
ฉันจูงลูกชายเดินเข้ามาที่ใต้ถุนบ้าน ร้องเรียกหาแม่ด้วยความตื่นเต้น ตื่นเต้นเพราะไม่ได้กลับมาหาเนิ่นนาน สองวันที่แล้วโทรมาบอกว่าจะมาๆ แต่ไม่ได้บอกว่าจะพาชินจังมาด้วย ดังนั้นจึงอยากจะเห็นตอนที่แม่ได้เจอหน้าหลานว่าจะดีใจมากขนาดไหนเพราะตลอดเวลาที่โทรหรือวิดีโอคอลหาแม่แม่ก็จะเอาแต่พูดว่าอยากให้รีบพาหลานมาหาเร็วๆ
แต่ทำไมในบ้านเงียบจัง แม่ฉันไม่อยู่บ้านงั้นเหรอ ก่อนขึ้นเครื่องกับตอนมาถึงฉันไม่ได้โทรมาบอกเอาไว้เพราะกะจะมาเซอร์ไพรส์สักหน่อย
"แม่คะ...เขต มีใครอยู่ไหมเนี่ย"
"ใครละนั่น...มาหายายนวลเหรอ หน้าคุ้นๆ นะ"
คุณยายคนหนึ่งเดินจากหน้าบ้านเข้าถามหาฉันที่อยู่ใต้ถุน ถ้าจำไม่ผิดยายคนนี้ชื่อยายสาว อยู่ข้างบ้านฉันนี่เอง
"สวัสดีจ้ะยายสาว จำขิมได้ไหม"
"อ้าว นังขิมเองเรอะ นึกว่าใคร ไปอยู่กรุงเทพฯตั้งนาน จำหน้าแทบไม่ได้ แล้วนั่น..."ยายสาวชี้ลงมาที่ตาชิน
"อ๋อ นี่ชินจังลูกชายขิมจ้ะ"
"อ้อๆ ตอนนั้นเอ็งท้องกลับมานี่นะ กลับมาคราวนี้ลูกโตซะแล้ว แล้วนี่มาทำอะไรที่นี่ล่ะ ไม่ไปหาแม่ที่โรงพยาบาล"
"คะ...โรงพยาบาลเหรอคะ แม่เป็นอะไรคะ"ฉันถามยายสาวอย่างไม่เข้าใจ
"อ้าว ยังไม่รู้อีกเรอะ ก็เมื่อเช้านะสิ แม่เอ็งปวดท้องหนักตอนออกไปรอใส่บาตรพระที่หน้าบ้าน ถึงกับล้มลงไปกับที่ ฉันไม่รู้จะทำยังไง เจ้าโต๋ก็ไม่อยู่ ฉันจึงโทรเรียกรถเทศบาลให้พาแม่เอ็งไปส่งในโรงพยาบาลอำเภอ ได้ยินว่าโรงพยาบาลอำเภอส่งไปโรงพยาบาลจังหวัดแล้ว น่าจะหนักอยู่นา...ไอ้เขตน้องชายเอ็งก็ไปด้วย ลองโทรถามน้องเอ็งดูสิ"
คำพูดจากปากยายสาว ทำให้ฉันแทบพูดไม่ออก ตอนแรกกะจะพาลูกชายที่แม่อยากเห็นหน้ามาเซอร์ไพรส์แม่ ตอนนี้เรื่องที่แม่เข้าโรงพยาบาลกลับมาเซอร์ไพรส์ฉันกลับเสียเอง ฉันเป็นห่วงแม่จนแทบไม่ได้ยินที่ยายสาวพูดอีกเลย
จริงๆ เขตอาจจะโทรหาฉัน แต่ฉันดันปิดโทรศัพท์ตั้งแต่ขึ้นเครื่อง มาถึงตอนนี้ยังไม่ได้เปิด หลังจากนั้นฉันจึงค้นกระเป๋าสะพายหาโทรศัพท์มากดเปิดเครื่อง มือของฉันสั่นเทาอย่างมาก ตาชินเห็นฉันมือสั่นจึงยื่นมือขึ้นมาจับแขนฉันไว้
เป็นตอนนั้นแหละที่สติของฉันถูกเรียกกลับมา...
และก็เป็นไปตามที่คิด...เขตโทรหาฉันตั้งสิบกว่าสาย เมื่อเห็นดังนั้นฉันจึงโทรกลับหาน้องทันที
"เขต แม่เป็นยังไงบ้าง"
"ทำไมพี่เพิ่งเปิดเครื่องเนี่ย ฉันโทรหาพี่ตั้งหลายสาย"
"พี่อยู่บนเครื่อง ตอนนี้อยู่ที่บ้าน ได้ยินจากยายสาวว่าแม่ไปโรงพยาบาล เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหน"
"โรงพยาบาลในเมือง ตึกฉุกเฉินชั้นสิบ"
"เคๆ งั้นพี่จะรีบไป เอ่อเขต กุญแจรถมอเตอร์ไซค์แกอยู่ตรงไหน"
"พี่จะขับมอไซค์มาเหรอ มันอันตรายนะพี่"
"บอกมาเถอะน่า"
"ในห้องนอนฉันตรงโต๊ะหัวเตียง..."
ดังนั้นหลังจากวางสายฉันจึงรีบวิ่งขึ้นบันไดเข้าไปหยิบกุญแจในห้องนอนของเขตซึ่งแม้แต่ประตูห้องยังไม่ได้ล็อก เห็นทีว่าเหตุการณ์ในเมื่อเช้าจะกะทันหันพลันด่วนมากๆ จนแม้แต่จะล็อกประตูบ้านไว้ยังทำไม่ทัน