บทที่ 2(3)

1824 คำ
คิดได้ดังนั้น นายาค่อยๆ คลานเข่าช้าๆ เข้าหาหน้าต่างไม้ไผ่ปิดสนิทที่อยู่ไม่ไกล มือบางยกขึ้นดันขอบหน้าต่างแง้มออกเพียงนิด แล้วสอดส่ายสายตาสังเกตรอบบริเวณลานเล็กๆหน้าบ้าน เหล่าชายฉกรรจ์ที่เดินไปเดินมาอยู่นั้นมีจำนวนมากก็จริง แต่ท่าทางที่เดินสำรวจบ้านของเธอดูไม่มีลักษณะคุกคามหรือแววตากระหายอยากต่อสิ่งใด พวกเขาทำเพียงแค่เดินและพากันไปทรุดนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ รวมตัวกันพูดอะไรแว่วๆ เสียงไม่เบานัก ทำให้นายาได้ยินชื่อพ่อชดของเธอ พลันดวงตากลมก็ต้องเบิกกว้างเมื่อหันมาเห็นชายร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำสีทองอร่าม ที่ยืนหันข้างคุยกับเหล่าชายฉกรรจ์ราวกับปรึกษาอะไรสักอย่าง นายาจำใบหน้าคมเข้มนั้นได้อย่างขึ้นใจ จมูกโด่งคมสันติดตาเธอจนเก็บมาฝันอยู่หลายคืนนั้น ทำให้เธอแน่ใจว่าพวกเขาคงไม่ใช่โจรผู้ร้ายอย่างที่นึกกลัว ‘ออกไปพบเขา นายา’ เสียงแผ่วที่ดังแว่วเมื่อครู่สะท้อนกลับมาจนสาวน้อยขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ มือบางหยิบผ้าคลุมสีหม่นขึ้นคลุมลงบนศีรษะ จับปลายผ้าพาดปิดใบหน้าเหลือไว้เพียงดวงตากลม พร้อมกับหันไปหยิบเสื้อคลุมสีคล้ำแขนยาวมาสวมทับอีกชั้น ตามคำสั่งของพ่อชด เมื่อยามที่ต้องออกไปนอกบ้าน นายาต้องคลุมผม คลุมหน้าพร้อมกับสวมเสื้อแขนยาวเสมอ โดยพ่อชดให้เหตุผลว่าข้างนอกนั้นมีสัตว์อันตรายมากมาย เธอเป็นผู้หญิงหากโดนกัด หรือโดนพิษจากละอองเกสรดอกไม้ หรือใบไม้บางชนิดอาจทำให้เจ็บป่วยได้ เสียงประตูเปิดดังเอี๊อดอ๊าดด้านบน เรียกสายตาทุกคู่ให้หันขึ้นไปมองยังจุดเดียวกัน ภาพสาวน้อยในผ้าซิ่นสีซีดค่อยๆ เดินออกมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูนั้นทำให้ชายหนุ่มมองกันอย่างสนใจ “มาหาใครคะ พ่อชดไม่อยู่” เสียงกังวานใสที่ดังขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ของร่างเล็ก ทำให้บรรดาชายหนุ่มเผลอกระพริบตาขึ้นลงเพื่อเรียกสติ ทุกคนต่างมองไปยังเด็กสาวตัวเล็กนั้นอย่างเห็นใจและสงสาร เด็กผู้หญิงที่ต้องอยู่เพียงลำพังในป่าลึกแบบนี้มันช่างน่าเวทนานัก แถมเด็กคนนี้ยังไม่รู้ข่าวการเสียชีวิตของบิดาอีก คิดแล้วพวกเขารู้สึกได้ถึงก้อนแข็งๆ ที่วิ่งขึ้นมาจุกอยู่บริเวณลำคอ พูดไม่ออกกับชะตากรรมที่เด็กน้อยต้องเผชิญเพียงลำพังนับจากนี้ “หนูเป็นลูกนายชดใช่ไหม” ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางเหล่าชายฉกรรจ์ ตะโกนถามเสียงดัง สายตาคมจ้องนิ่งอยู่ที่ดวงตากลม ในใจก็นึกเห็นใจเด็กน้อยขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ค่ะ” เด็กสาวในสายตาของทุกคนพยักหน้าสองสามที มือบางกำแน่นอยู่ที่ชายเสื้อคลุมตัวใหญ่ บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังตื่นกลัวพวกเขา แต่ก็พยายามฝืนออกมาเผชิญหน้ากับอันตรายตรงหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวน่าชื่นชมยิ่งนัก “ฉันเป็นเจ้านายพ่อหนู มา...เอ่อ...แจ้งข่าว” ฆนนาทค่อยๆ ก้าวเข้าใกล้กับบันได พร้อมกับเอ่ยทำลายบรรยากาศชวนน่ากลัวด้วยการแสดงตน แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่าตัวเองมาที่นี่เพื่ออะไรก็อดที่จะเวทนาเด็กสาวไม่ได้ น้ำเสียงที่เคยเฉียบขาด เข้มดุ พลันอ่อนลงอย่างที่เจ้าตัวก็ยังตกใจ “อ๋อ...สวัสดีค่ะ พ่อชดทำงานกับคุณเหรอคะ” มือบางยกขึ้นทำความเคารพอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี จนบรรดาหนุ่มๆ ที่ยืนมองอยู่อดยิ้มด้วยความเอ็นดู อีกทั้งคำพูดคำจาที่ใช้กับผู้ใหญ่ก็ดูราวกับคนที่อยู่ในสังคมเมืองทั่วไป ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นเพียงเด็กสาวบ้านป่าธรรมดา ไม่เคยแม้กระทั่งไปโรงเรียนหรือออกไปเจอผู้คนแม้สักคนเดียว! ร่างเล็กบอบบางหันกายเดินเข้าไปในตัวบ้าน กลับมาอีกครั้งพร้อมกับขันเงินใบย่อมสะอาดตา เท้าเล็กค่อยๆ เดินลงมาตามขั้นบันไดอย่างคล่องแคล่ว “น้ำค่ะ” เสียงใสปราศจากความตื่นกลัว พร้อมกับยกขันน้ำในมือส่งให้ผู้เป็นเจ้านายของพ่อเธอ ดวงตาใสแป๋วเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาเห็นถึงแววยินดีของเธอ เพราะผ้าคลุมสีหม่นนั้นปกปิดใบหน้าของเด็กสาวเอาไว้หมด “ขอบใจมาก” ฆนนาทยกน้ำขึ้นจิบพร้อมกับเอ่ยขอบคุณเด็กสาว แล้วหันไปยื่นขันน้ำส่งให้คนอื่นๆ รับไปดื่มบ้าง “พ่อไม่ได้กลับบ้านมาสองวันแล้วค่ะ...เอ่อ...นาย” เสียงกังวานใสเงยหน้าขึ้นบอกกล่าวกับหนุ่มร่างสูง ทิ้งท้ายด้วยคำเรียกที่ได้ยินจากหนุ่มผิวเข้มเมื่อสักครู่ “อืม พวกเรารู้แล้ว” ร่างสูงพยักหน้ารับรู้ “คะ...แล้ว...” เงยหน้าแหงนคอตั้งบ่า เมื่อได้ยินสิ่งที่ออกจากปากเจ้านายของพ่อ คิ้วเรียวขมวดอย่างสงสัย ก็ในเมื่อรู้ว่าพ่อของเธอไม่ได้กลับบ้าน คนพวกนี้จะมาตามหากันทำไม ดวงตาคมดุที่จ้องนิ่งมานั้น ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่นายาเห็นแล้วรู้สึกขนลุกวาบ ดวงใจสั่นไหวราวกับรู้สึกได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดี เสียงแผ่วกังวานที่เธอได้ยินหลายครั้งเมื่อครู่ ทำไมมันฟังดูคุ้นหูอย่างไรพิกล “พวกเรามาแจ้งข่าวเรื่องพ่อเธอ คือ...เอ่อ...นายชด” ฆนนาทกลายเป็นคนติดอ่างไปเมื่อเห็นดวงตาหวานนั่นสั่นระริกอย่างตื่นกลัวอีกครั้ง แต่ด้วยความเป็นคนเด็ดขาด เฉียบคม ทำให้ต้องพูดสิ่งที่คิดว่ายากเหลือเกินนั้นออกไป เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อออกไปอีก “นายชดหัวใจวายเมื่อวาน ตอนนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันกำลังให้คนไปรับมาไว้ที่วัด” ร่ายยาวรวบรัด พร้อมกับจ้องมองปฏิกิริยาของร่างเล็กตรงหน้าไปด้วย “เอ่อ...พ่อ...ตายแล้ว...พ่อชด...คือ...จริงๆ ใช่ไหม...” เสียงใสขาดหายกระท่อนกระแท่นสั่นระริกเอ่ยถามราวกับจะย้ำความหมายสิ่งที่เธอเพิ่งได้ยิน ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างต้องการระงับอารมณ์หลากหลายที่กำลังวิ่งเข้าใส่ สองแขนเรียวยกขึ้นกอดลำตัวของตัวเองแน่นพร้อมกับหันหลังให้กับคนแปลกหน้าที่นำเรื่องร้ายมาโยนใส่หน้าเธออย่างไม่ให้ทันตั้งตัว ร่างบางที่กำลังสั่นสะท้านอย่างแรงกับความเศร้าโศกเสียใจกับการสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต ทำให้บรรดาหนุ่มๆ ยืนมองด้วยความเห็นใจอย่างเหลือเกินพวกเขาปล่อยให้เด็กสาวยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ด้วยความที่เป็นผู้ชายใช้แรงงาน แกร่งกระด้างหยาบคายไม่เคยอ่อนโยนกับใคร ทุกคนเลยยืนนิ่งไม่กล้าเข้าใกล้เด็กสาวเกรงว่าจะทำให้เธอตื่นกลัวมากไปกว่านี้ รวมทั้งผู้เป็นเจ้านายก็ไม่ต่างกันนัก แม้จะชื่นชอบกับการลงสนามรักห้ำหั่นกับบรรดาสาวๆ แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะต้องปลอบประโลมเด็กน้อยตัวเล็กๆ ขนาดกับอดีตเมียที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ฆนนาทก็ยังไม่เคยพูดจาอ่อนหวานเอาอกเอาใจ ด้วยไม่ใช่นิสัยอยู่แล้ว และนี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เมวิษาสลัดเขาทิ้งอย่างไม่ไยดีเมื่อเจอหนุ่มรุ่นน้องที่ขยันเอาอกเอาใจหล่อนราวกับเป็นเจ้าหญิงตัวเล็กๆ เด็กคนนี้ควบคุมอารมณ์ได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะเสียใจมากแค่ไหน เธอทำแค่เพียงร้องไห้เบาๆ แล้วยืนนิ่งรวบรวมสติ สองมือบางยกขึ้นป้ายน้ำตาพร้อมกับสูดหายใจแรงๆ สองสามทีก่อนจะหันหน้ามาเผชิญกับความจริงที่รออยู่ “หนูต้องทำอะไรบ้างคะ” ร่างเล็กบางหันกลับมาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนแปลกหน้า พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่นเต็มทีจนฆนนาทอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็น “ฉันเสียใจด้วยนะ แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องงานศพ เพราะฉันจะจัดการให้ เดี๋ยวเธอเก็บของใช้เท่าที่จำเป็น แล้วออกเดินทางไปพร้อมกับพวกฉันเลยก็แล้วกัน” ดวงตาคมพยายามส่งความเห็นใจให้กับเด็กสาวอย่างเต็มที่ นึกหงุดหงิดรำคาญกับมือไม้ที่ไม่รู้ว่าจะยกขึ้นหรือวางไว้ข้างตัวดี อาการใจสั่นยามที่สบตากับดวงตาหวานนั่นทำให้เขาต้องขมวดคิ้วครุ่นคิด จนใบหน้าคมเริ่มฉายแววเกรี้ยวกราด ยังผลให้เด็กสาวก้าวถอยหลังอย่างหวาดกลัว ริมฝีปากบางสั่นระริก แต่ก็ต้องพยายามข่มอาการทั้งหลายเอาไว้เมื่อยังมีเรื่องอีกมากมายให้เธอต้องจัดการ “ขอบคุณนายค่ะที่เป็นธุระให้ ขอเวลาเดี๋ยวนะคะ” ยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้งกับความกรุณาของชายหนุ่มร่างสูง พร้อมกับหันหลังเดินขึ้นไปเก็บของตามคำสั่ง แต่ก็ยังไม่วายยกมือขึ้นปาดน้ำตาเป็นระยะ เรียกเสียงถอนหายใจจากหนุ่มๆ ได้อีกครากับความอึดอัดที่ไม่อาจปลอบโยนเด็กสาวได้อย่างที่ใจอยากทำ ในใจก็คิดว่าให้เป็นหน้าที่ของเจ้านายไปนั่นแหละดีแล้ว เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้พวกเขาไม่ถนัดอย่างแรง ร่างบางเดินตามหลังร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นเจ้านายพ่อไปอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ดวงตาหวานเต็มไปด้วยหยาดน้ำใสคลอคลองจนกลายเป็นม่านบางๆ ปกคลุมเต็มทั้งสองตา มือบางยกขึ้นปาดทิ้งเป็นระยะอย่างไม่รู้ว่าจะห้ามมันอย่างไรดี ในใจนายาตอนนี้สับสนคิดสิ่งใดไม่ออก สิ่งแรกที่นึกได้คือทำตามคำสั่งร่างสูงที่กำลังเดินนำอยู่ข้างหน้านั่น ชีวิตที่ขาดเสาหลักมันเคว้งคว้างจนภายในใจวูบโหวงกรวงโบว๋ ตั้งแต่จำความได้นายาไม่เคยรู้จักใครนอกจากพ่อชดที่เลี้ยงดูมา โลกภายนอกเป็นอย่างไรเธอไม่เคยรู้จัก สิ่งต่างๆ ที่ได้รับรู้มีเพียงคำบอกเล่าจากพ่อชด และจากหนังสือที่อ่านเท่านั้น อะไรที่กำลังรออยู่ภายภาคหน้านั้นเธอก็สุดจะคาดเดา ปล่อยทุกอย่างให้ดำเนินไปตามการชักนำของบุรุษแปลกหน้าคนนี้ก็แล้วกัน อย่างน้อยๆ เจ้านายที่พ่อเคยเล่าว่าใจดี และมีเมตตาต่อลูกน้องคนนี้ คงเป็นคนดีจริงอย่างเรื่องเล่ามากมายที่พ่อชดมักถ่ายทอดให้ฟังทุกๆ วันหลังจากกลับจากการทำงานในไร่องุ่นกว้างใหญ่ที่เธอก็ยังไม่เคยเห็นนั่น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม