“เอ่อ ป้าเซี่ยครับ ช่วยขึ้นไปดูคุณหนูของป้าหน่อยได้ไหมครับว่าเธอ เอ่อ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า ถ้ายังปวดหัวอยู่ผมจะพาเธอไปหาหมอ” น้ำเสียงของโหวเจียวซือแฝงไปด้วยความห่วงใย ลึกๆ แล้วเขาเองก็รู้สึกละอายใจที่เขาในฐานะคู่หมั้นนั้นไม่เคยแวะเวียนไปเยี่ยมจูเลี่ยงรุ่ยเมื่อครั้งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเลย เขาไม่อยากพบหน้าเธอ เขารังเกียจเธอมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนับจากวันที่ปู่ของเขามาบอกว่าจะให้หมั้นกับหลานสาวของเพื่อนรัก เธอจะเป็นจะตายก็ช่าง เขาไม่สนใจ ดีซะอีก เขาจะได้สลัดห่วงพันธนาการบ้าๆ นี่ทิ้งไปได้ซะที
แต่…วันนี้ความรู้สึกของเขามันเปลี่ยนไป หลังจากที่ได้ยินจูเลี่ยงรุ่ยบอกว่าปวดหัว ใจเขาก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาเพราะเป็นห่วงเธอ เขาเคยเป็นคู่หมั้นที่แย่ แต่วันนี้อยากจะทำหน้าที่คู่หมั้นที่ดี
เซี่ยซูเจียวยิ้มอ่อน
“คุณชายโหว คุณหนูของป้าบอกว่าแค่เหนื่อยเพราะวันนี้เดินทั้งวันเลย อยากพัก เธอนอนหลับไปแล้วล่ะค่ะ” ป้าเซี่ยเกือบจะเผลอหลุดปากไปว่า ‘น้ำก็ไม่อาบ’
โหวเจียวซือถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องกลับก่อน เดี๋ยวผมขอใช้โทรศัพท์หน่อยนะครับ จะโทรบอกให้เพื่อนมารับ พอดีวันนี้รถผมเสียเลยเอาไปซ่อม เอ่อ ป้าเซี่ยครับ ถ้าหากว่ามีเรื่องด่วนอะไร อย่างเช่นว่า เลี่ยงรุ่ยไม่สบายหรือปวดหัวขึ้นมา ป้าโทรหาผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ ไม่ว่ากลางวัน กลางคืน หรือว่าดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม”
ท่าทางและน้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยคุณหนูของนางของชายหนุ่มทำให้เซี่ยซูเจียวอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ได้ค่ะ ป้าจะโทร”
เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ปกติแล้วป้าเซี่ยจะไม่ค่อยเห็นคุณผู้ชายอยู่บ้าน แต่วันนี้เขากลับเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านพร้อมๆ กับหวงเลี่ยงหลิงซึ่งดูอ่อนระโหยโรยแรงมากกว่าทุกวัน
‘โอ๊ะ!อย่าบอกนะว่า’ เซี่ยซูเจียวอดคิดไปทางนั้นไม่ได้
ใช่แล้ว เมื่อคืนนี้เขาทั้งสองนอนด้วยกัน จูลู่จื้อในวัย 42 ปี และหวงเลี่ยงหลิงในวัย 40 ปี พวกเขายังคงมีความต้องการเรื่องอย่างว่ากันอยู่ แต่ทุกครั้งที่จูลู่จื้อเผลอไผลหลับนอนกับหวงเลี่ยงหลิงเป็นเพราะเธอวางยาปลุกกำหนัดเขา แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เธอไม่ได้วางยาเขา และดูเหมือนจะมีทีท่าลังเลและไม่ยินยอมในคราแรกเสียด้วยซ้ำ
“ป้าเซี่ย ให้เด็กๆ ตั้งโต๊ะเลย คุณผู้หญิงหิวแล้ว” วันนี้จูลู่จื้อมาแปลก เขาดูเป็นห่วงเป็นใยและเอาอกเอาใจภรรยาเป็นพิเศษ
“เอ่อ คุณลู่จื้อคะ วันนี้ไม่ออกไปไหนหรือ?” หวงเลี่ยงหลิงเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย ทุกครั้งเวลาที่เขาจำเป็นและจำใจมานอนค้างที่บ้านหลังนี้พอตื่นเช้าขึ้นมาเขาจะกระวีกระวาดรีบออกไปทันที
“ไม่นี่ วันนี้ผมอยากอยู่บ้านกับคุณ”
ช่างเป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายซะเหลือเกิน
“พ่อคะ จะดีเหรอคะ เมื่อคืนพ่อก็ค้างที่บ้านนี้ วันนี้พ่อก็จะอยู่ที่บ้านนี้อีก แล้วคืนนี้พ่อจะนอนที่นี่อีกหรือเปล่าคะเนี่ย?” เสียงของจูเลี่ยงรุ่ยสอดเข้ามา ทำเอาผู้เป็นพ่อชักสีหน้าไม่พอใจ
‘มันจะมายุแยงอะไรอีกล่ะ ลูกคนนี้’
“เลี่ยงรุ่ย นี่ลูกพูดอะไรรู้ตัวบ้างไหม แต่ก่อนเป็นลูกไม่ใช่เหรอที่ร่ำร้องอยากให้พ่ออยู่กับแม่กับลูกน่ะ?”
หญิงสาวขยับเข้ามานั่งเบียดกับผู้เป็นแม่ที่เวลานี้ดูอ่อนระโหยโรยแรงมากกว่าทุกวัน สงสัยเมื่อคืนจะถูกจัดหนักจัดเต็ม จูเลี่ยงรุ่ยซบใบหน้าลงกับไหล่ของหวงเลี่ยงหลิงที่ยังคงดูมึนงงอยู่ไม่หาย ก่อนจะเอ่ยออกมา
“แหม พ่อคะ นั่นมันแต่ก่อนค่ะ แต่หลังจากที่หนูได้อยู่กับความรู้สึกที่ว่าชีวิตนี้มีแต่แม่กับตาแล้วก็ป้าเซี่ยเท่านั้น ไม่น่าเชื่อนะคะว่ามันทำให้หนูลืมพ่อไปได้ยังไง ยิ่งช่วงที่หนูเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลแล้วพ่อไม่เคยโผล่หน้าไปเยี่ยมเลยว่าลูกคนนี้จะเป็นจะตายอย่างไร หนูก็ตัดใจจากพ่อได้เลยค่ะ พ่อคะ พ่อเป็นถึงนายทหารยศนายพัน การศึกษาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร พ่อไม่รู้หรอกหรือคะว่าการผ่าตัดสมองนั้นมันเป็นการผ่าตัดใหญ่ คนไข้มีโอกาสรอดกับตายเท่าๆ กันเลยนะคะ” จูเลี่ยงรุ่ยแสร้งทำน้ำเสียงเศร้าสร้อย เรียกร้องความสงสารเห็นใจจากผู้ที่ได้ฟัง
จูลู่จื้อมีท่าทางลนลาน ไม่รู้ว่าจะเอาไม้เอามือไปไว้ตรงไหน ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อที่ดีเลย เพราะเขาต้องคอยดูแลลูกสาวอีกคนที่ป่วยอยู่เช่นกันในเวลานั้น ส่วนหวงเลี่ยงหลิงนั้นยังคงปิดปากเงียบ แต่น้ำตาที่ร่วงเผาะของผู้เป็นภรรยาก็เล่นเอาจูลู่จื้อร้อนรน เขากลัวว่าความผิดของเขาในครั้งนั้นจะทำให้สองแม่ลูกสลัดเขาทิ้ง
“เพราะอย่างนั้นไง พ่อถึงอยากจะชดเชยเวลาให้ลูก ช่วงนั้นพ่อยุ่งเรื่องงานหนัก เจ้านายใช้ให้ไปราชการลับ พ่อเลยไม่สามารถเข้าไปหาลูกที่โรงพยาบาลได้” เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกเชื่อ
จูเลี่ยงรุ่ยจากที่แต่เดิมมีสีหน้าเศร้าหมองพอได้ยินผู้เป็นพ่อพูดอย่างนั้นก็คลี่ยิ้มให้เขา รอยยิ้มอันงดงามของลูกที่เขาเคยนึกชังบัดนี้กลับทำให้หัวใจของจูลู่จื้อกระชุ่มกระชวยขึ้นมา
จูเลี่ยงรุ่ยฉีกยิ้มกว้างให้ผู้เป็นพ่อ จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมา เล่นเอาทั้งผู้ที่เป็นพ่อและแม่ตั้งตัวไม่ติด
“ฮ่าๆๆๆ คุณจูลู่จื้อ คุณพ่อสุดที่รัก ลืมไปแล้วเหรอคะว่าพ่อตาของคุณน่ะก็คือเจ้านายของคุณ มาโกหกลูกเมียซึ่งๆ หน้า ไม่อายบ้างเหรอ และไม่นึกบ้างเหรอว่าพ่อลูกเขาก็ต้องมีคุยกันบ้างแหละ โทรศัพท์ก็มีทั้งสองบ้าน แม่กับตาคุยกันตลอดค่ะ ที่พ่อไม่ได้ไปเยี่ยมหนูที่โรงพยาบาลเป็นเพราะพ่อต้องคอยดูแลลูกสาวอีกคนที่พ่อรักดั่งดวงใจเพราะเธอป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ต่างหากล่ะ แหม…คุณพ่อคะ ผ่าตัดสมองกับไข้หวัดใหญ่นี่มันต่างกันลิบลับเลยนะคะ อย่าเพิ่งนึกสงสัยไปเลยนะคะว่าหนูรู้ได้อย่างไร หนูยังมีเซอไพรซ์อีกเยอะค่ะ เอาเป็นว่า พ่อไม่มาเยี่ยมหนูก็ช่างเถอะ หนูไม่สนใจพ่อแล้ว” ที่เธอรู้เพราะเธออ่านนิยายเกือบจะจบแล้วน่ะสิ เหลือเพียงตอนสุดท้ายเท่านั้น อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย
‘โอ๊ะ!เลี่ยงรุ่ยรู้ได้ยังไงกัน’ หลังจากที่ได้ฟังลูกสาวประกาศกร้าวแล้วจูลู่จื้อก็เกิดอาการระแวงขึ้นมา เขามีท่าทางลนลาน คำว่า ‘หนูไม่สนใจพ่อแล้ว’ และท่าทีของภรรยาที่ดูเฉยชากับเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเล่นเอาพันตรีจูลู่จื้อนั่งแทบไม่ติด เขากลัวว่าลูกและเมียที่เขาเคยคิดจะสลัดทิ้งจะเป็นฝ่ายสลัดเขาทิ้งแทนน่ะสิ