ตอนที่ 8 ตอกกลับจนหน้าหงาย (1)

1394 คำ
บรรยากาศของโรงเรียนเล็กๆ ในชนบทที่ไม่ไกลไปจากเมืองหยูเอี้ยน จังหวัดเกาหลิง มณฑลเหอจิ้งมากนักในวันนี้นั้นดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีผู้อุปการะคุณมาเยือนถึง 2 กลุ่ม กลุ่มแรกนั้นเป็นกลุ่มของลูกสาวนายทหารยศพันตรี ส่วนกลุ่มที่ 2 นั้นเป็นกลุ่มของนายทหารยศร้อยโท จูเลี่ยงรุ่ยอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ สวมเสื้อแจ๊คเก็ตและหมวกแก๊ปยีนส์เข้ากันทั้งชุด วันนี้หญิงสาวดูทะมัดทะแมงและมีเสน่ห์แปลกตา ในยุคสมัยแห่งความยากลำบากนี้ ชุดเสื้อผ้าที่ทำจากยีนส์นั้นล้วนหายากและมีราคาแพง ต้องซื้อหาจากร้านค้าในห้างสรรพสินค้าเท่านั้น “ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้?” โหวเจียวซือเดินตรงเข้ามาหาคู่หมั้นพลางเอ่ยถามอย่างแปลกใจ น้ำสียงและสีหน้าท่าทางดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก จูเลี่ยงรุ่ยมุ่นหัวคิ้ว “เอ๋…ร้อยโทโหวเจียวซือคะ คือ…โรงเรียนนี้ห้ามฉันมาอย่างนั้นหรือ ฉันคิดว่าฉันมาดีนะคะ พาแม่มาทำบุญแจกของและเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ฉันทำอะไรผิดหรือทำอะไรไม่ดีตรงไหนหรือคะ?” หญิงสาวลอยหน้าลอยตาถาม เธอเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเจอโหวเจียวซือที่นี่ เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับถังหงเซ่อและเตียวหนิงฮวา นางเอกผู้อ่อนหวาน อ่อนโยน และอ่อนแอ …แหม มันช่างบังเอิญจริงๆ โหวเจียวซือหันซ้ายแลขวาก่อนจะดึงตัวหญิงสาวเข้าไปคุยในที่ลับตาคนอื่น เตียวหนิงฮวาเห็นว่าทั้งสองหายเข้าไปด้านหลังพุ่มไม้ด้วยกันใจก็เกิดร้อนรนขึ้นมา “พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พี่เพียงแต่สงสัยว่าเธอเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นทำไมถึงต้องถ่อสังขารมาในที่ทุรกันดารไกลๆ อย่างนี้ด้วย ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ” ท่าทางของโหวเจียวซือไม่มีใครเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มดูร้อนรนชอบกล “ก็ไม่เห็นจะไกลนี่คะ แค่ 80 กิโลเอง รถของฉันก็ไม่ใช่รถเก่าเสียหน่อย ขับได้ไว และไม่น่าจะเสียกลางทาง อีกอย่าง ตอนนี้ฉันแข็งแรงดีแล้วค่ะ” “แล้วทำไมไม่ชวนพี่ให้มาเป็นเพื่อน?” ชายหนุ่มมีท่าทางคาดคั้น แต่เหมือนเขาพูดเองก็งงเอง เขาเองก็ไม่ได้ชวนเธอเหมือนกัน แต่ชวนเตียวหนิงฮวามาด้วย จูเลี่ยงรุ่ยเลิกคิ้วสูง “ต้องชวนด้วยเหรอคะ ฉันไม่ใช่คุณนะที่ต้องชวน เอ่อ…” จูเลี่ยงรุ่ยบุ้ยใบ้ไปทางหญิงสาวอีกคนที่กำลังเดินตรงมาที่พวกเขา เตียวหนิงฮวาเดินตามหาคนทั้งสองด้วยใจที่ร้อนรน ทำไมจู่ๆ คนรักของเธอที่เคยประกาศกร้าวว่าเกลียดจูเลี่ยงรุ่ยถึงได้ไม่ยอมออกห่างจากผู้หญิงคนนั้น แถมยังทำอะไรเหมือนมีลับลมคมใน หญิงสาวรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาซะอย่างนั้น โหวเจียวซือเมื่อหันซ้ายก็เห็นจูเลี่ยงรุ่ย หันขวาก็เห็นเตียวหนิงฮวา ชายหนุ่มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฉันขอตัวก่อนนะคะ ต้องไปช่วยแม่ดูแลเรื่องอาหารกลางวันให้เด็กๆ” พูดจบจูเลี่ยงรุ่ยก็เดินฉับๆ จากไป อาหารกลางวันของวันนี้ดูจะเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับเด็กยากจนในชนบทเวลานี้ ครูและเด็กโตช่วยกันตักอาหารให้กับเด็กๆ ที่เข้าแถวรอรับอาหารด้วยใบหน้าที่ชื่นบาน ข้าวผัด ไก่ทอด แกงจืดหมูสับ ส้ม และขนมคุกกี้ที่บรรจุในปี๊บหลายรสชาติดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจเด็กๆ ไม่น้อย ทุกคนต่างพากันกินอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลา จะมีสักกี่ครั้งกันในชีวิตของพวกเขาที่ได้กินอาหารดีๆ แบบนี้ ชนบทเวลานี้แม้ว่าทางการจะจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรแล้ว แต่ก็ยังคงมีแปลงนารวม หากว่าบ้านไหนขยันและต้องการคูปองเพื่อซื้อหาสินค้าต่างๆ ในร้านสหกรณ์ของรัฐก็ยังคงสามารถไปลงชื่อในการลงแปลงนาได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าการค้าต่างๆ จะเสรีขึ้น ประชาชนหันมาจับจ่ายใช้สอยด้วยเงินตรา ทว่า…ในส่วนของคูปองเพื่อแลกซื้อสิ่งต่างๆ ก็ยังมีอยู่ ยังไม่ได้ยกเลิกโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในชนบทหรือเมืองเล็กๆ “เอ้า เด็กๆ ขอบคุณเจ้าภาพของพวกเราวันนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณคณะของคุณจูเลี่ยงรุ่ยพร้อมคุณแม่ ขอบคุณคณะของคุณโหวเจียวซือด้วยค่ะ เอ่อ คุณจูเลี่ยงรุ่ยบอกว่ามีอะไรอยากจะพูดกับเด็กๆ ด้วยใช่ไหมคะ?” ครูใหญ่เอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม วันนี้เด็กๆ ทั้งโรงเรียนกว่า 50 คนได้รับทั้งเครื่องเขียนและอุปกรณ์การเรียนต่างๆ จากเจ้าภาพ 2 เจ้าที่มาทำบุญที่โรงเรียนแห่งนี้และเด็กๆ รวมทั้งคุณครูทุกคนยังได้ทานมื้อกลางวันอร่อยๆ ซึ่งล้วนเป็นอาหารดีๆ และมีคุณภาพอีกด้วย จูเลี่ยงรุ่ยก้าวขึ้นไปยืนเบื้องหน้าของเด็กๆ พลางคลี่ยิ้มอบอุ่น “น้องๆ จ๊ะ พี่เลี่ยงรุ่ยอยากให้ทุกคนตั้งใจเรียน เวลานี้การศึกษาเริ่มเข้าถึงเด็กๆ ในทุกพื้นที่แล้ว และต่อไปการศึกษาของพวกเราจะดีกว่านี้ จำคำของพี่ไว้นะ การศึกษาจะทำให้เรามีโอกาสที่ดีในชีวิต มีงานที่ดีทำ มีเงินเลี้ยงดูครอบครัว ต่อไปพวกเราจะสามารถเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติได้” จูเลี่ยงรุ่ยพูดออกมาจากใจจริง เธอมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่…กลับมีหลายๆ คนที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ เพราะจูเลี่ยงรุ่ยคนก่อนนั้นได้ชื่อว่าเป็นเด็กหัวทึบแถมยังขี้เกียจตัวเป็นขน เธอเรียนจบเพียงแค่ชั้นประถมเท่านั้นก็ขอหยุดเรียนทั้งๆ ที่ครอบครัวนั้นมีปัญญาที่จะส่งจนเรียนจบมหาวิทยาลัย หรือจะไปเรียนต่อต่างประเทศก็ยังได้ แต่เพราะหญิงสาวนั้นไม่เอาดีทางด้านนี้ประกอบกับถือตนว่าเกิดมาบนกองเงินกองทอง เป็นลูกหลานนายทหารใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเรียนให้เหนื่อยให้ปวดหัว ไม่ต้องทำงานทั้งชีวิตก็มีกินไม่อดไม่อยาก กลับกันกับพี่สาวต่างแม่อย่างเตียวหนิงฮวา เพราะเธอเป็นนางเอกนักเขียนจึงได้เขียนให้เธอนั้นมีแต่คุณสมบัติดีๆ เตียวหนิงฮวานั้นเป็นคนขยันขันแข็ง หัวดี เรียนเก่ง หญิงสาวต้องการถีบตัวขึ้นมาจึงตั้งใจเรียนและคนเป็นพ่อก็สนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้เตียวหนิงฮวาซึ่งอายุ 21 ปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยของรัฐชั้นปีที่ 3 แล้ว เธอตั้งใจว่าจบแล้วจะสอบบรรจุเป็นครู จะได้มีอาชีพที่มั่นคง เพราะอาชีพครูนั้นถือเป็น ‘ชามข้าวเหล็ก’ อาชีพหนึ่ง ตอนเด็กๆ เตียวหนิงฮวาอาศัยอยู่กับแม่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทเพราะจูลู่จื้อต้องการซ่อนสองแม่ลูกคู่นี้ให้ไกลหูไกลตาของภรรยาที่ถือทะเบียนสมรส เขาต้องคอยแอบส่งเงินเพื่อเลี้ยงดูลูกนอกทะเบียนและเมียเก็บอย่างเตียวหนิงเหมยมาโดยตลอด ประหยัดอะไรได้ก็ประหยัด เพราะไม่อยากให้ลูกเมียที่รักต้องลำบาก และเพราะเห็นว่าทางด้านหวงเลี่ยงหลิงและจูเลี่ยงรุ่ยนั้นไม่เคยขาดแคลนสิ่งใด (ออกจะมีมากกว่าคนอื่นจนเรียกว่าเหลือเฟือซะด้วยซ้ำ) เขาจึงใช้อุบายโดยบอกว่าต้องส่งเงินไปเลี้ยงดูคนทางบ้านอันมีพ่อแม่ซึ่งแก่ชราแล้ว ซึ่งหวงเลี่ยงหลิงก็ไม่ขัดหากว่าเขาจะทำตัวเป็นลูกกตัญญู แต่หลังจากพยานรักของพวกเขาต้องเข้ามาเรียนในเมือง นางร้ายหวงเลี่ยงหลิงที่ให้คนคอยสืบข่าวพวกเขามาตลอดก็ได้รู้ความจริง เพียงแต่เธอไม่ได้โวยวายเรื่องเงิน เรื่องเงินแค่นั้นมันเรื่องเล็กสำหรับเธอ แต่เรื่องหัวใจและความรู้สึกนี่ต่างหากล่ะที่มันสำคัญกว่า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม