ชิงเว่ยเว่ยเอาเรื่องของชนเผ่าบนเขาชู่ชีไปเล่าให้หน่วยฉีหลินฟัง เด็กทั้งสามหน้าซีด เมื่อได้ยินถึงความร้ายกาจของชนเผ่าต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ในตำราในห้องของใต้เท้าชิง
“ตำราที่ข้าอ่าน เป็นบันทึกของกรมกลาโหม ดังนั้นจะว่าไปก็เป็นความลับของทางการ พวกเขาอย่าได้เอ่ยถึงที่มาก็แล้วกัน”
ทุกคนพยักหน้ารับ ซิวอี้เซิงที่สะสมตำราเกี่ยวกับการทหารและกองทัพฟังแล้วอยากจะเห็นตำราในห้องของเจ้ากรมกลาโหมบ้าง
“เจ้านับว่ามีวาสนาเสียจริง มีโอกาสได้เข้าไปในห้องตำราดีๆ เช่นนี้”
“หัวหน้าซิว เจ้าอย่าได้ทุกข์ใจไป เราสืบเรื่องตรงหน้าให้กระจ่างเสียก่อนเถิด ตอนนี้ข้าอยากรู้นักว่าคนกลุ่มที่ซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลร้อยทางแยกนั้นเป็นใคร? มาอยู่ในนั้นด้วยจุดประสงค์ใด?”
ซิวลู่ฉิงทำตาโตนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ทำให้ชิงเว่ยเว่ยต้องหันไปตบต้นแขนของสหายเบาๆ “เจ้าเล่าฉิงเอ๋อร์ แม่นักสืบยุทธภพไม่มีข้อคิดเห็นบ้างเลยหรือ?”
“ข้าว่า...ข้าว่า...มันชักจะเข้าเค้าแล้วล่ะ”
“เค้าอะไรล่ะ? เจ้าก็รีบพูดมาสิ!” ฉีเหยียนเม้มปากแน่นเขาตื่นเต้นและอยากรู้เรื่องของคนที่ลอบทำร้ายตน
“ก็นิยายเล่มสามที่พวกเราอ่านวันนั้นน่ะสิ! เจ้าว่าไม่เหมือนหรือ? มารน้อยมี่มี่เขียนถึงคนที่ไปซ่อนอยู่ในป่า และตอนที่พวกเจ้ายังไม่ได้อ่านต่อก็คือ คนพวกนั้นเอาขุนนางที่ถูกเปลี่ยนศพไปซ่อนไว้”
“เอ๋? นี่มัน....” ฉีเหยียนอ้าปากค้าง
ซิวลู่ฉิงได้ทีก็รีบว่าต่อ “หากว่าคนพวกนั้นเกี่ยวพันกับคดีของใต้เท้าไต้ล่ะ? นิยายเล่มนี้เขียนเล่มที่สามจบออกมาสามเดือนก่อน ราวกับสืบเรื่องราวของของไต้จี้หลิงแล้วเอามาเขียนเลยนะ”
ชิงเว่ยเว่ยชักจะสนใจในสิ่งที่เด็กหญิงผู้คลั่งไคล้การสืบสวนเล่า
“ข้ายังไม่มีเวลาอ่านนิยายของเจ้าต่อเลย ว่าแต่ตอนจบของคดีนี้ จอมยุทธ์เซียวค้นพบความจริงได้อย่างไร?”
“เล่มสี่ยังไม่ออกมาเลยน่ะสิ! ดูเหมือนว่าตอนท้ายก็เล่มสามจะเล่าถึงจอมยุทธ์เซียวลอบเข้าไปในป่าแห่งนั้นแล้วพบกับขุนนางที่ได้รับบาดเจ็บทำให้ไม่อาจหนีออกมาได้ เขาถูกวางยาพิษที่ต้องได้รับยาแก้จากคนร้ายเท่านั้น แต่เพราะเขาสติเลอะเลือนจึงไม่อาจตอบสิ่งที่คนร้ายต้องการ”
“คนร้ายต้องการอะไรหรือ?” ฉีเหยียนโพล่งขึ้น
“ในนิยายเป็นแผนที่เก็บอาวุธของกองทัพที่นำไปซ่อนเอาไว้”
ซิวอี้เซิงหันไปหาชิงเว่ยเว่ย “เจ้าว่าใต้เท้าไต้ไปเมืองชิงหลิงเพื่อกวาดล้างโจรป่าช่วยเจ้าเมือง แล้วหากว่าโจรพวกนั้นเก็บตัวเขาไว้จริงๆ แล้วคนพวกนั้นจะต้องการสิ่งใด?”
“หรือว่าใต้เท้าชิงมีความลับสำคัญอยู่กับตัว?” เด็กหญิงเริ่มขมวดคิ้ว
ไห่ฮ่าวที่นั่งฟังเด็กทั้งสี่คุยกัน ทั้งยังทำหน้าที่ดูต้นทางก็พลอยขบคิดตามไปด้วย เขาพยายามทบทวนว่าเคยได้ยินนายท่านพูดกับผู้ใดถึงเรื่องนี้?
“อ่า....คุณหนู! ดูเหมือนนายท่านจะเคยพูดกับนายทหารผู้หนึ่งนะขอรับ”
เด็กทั้งสี่หันมามองไห่ฮ่าวเป็นจุดเดียวกัน “เรื่องอะไร?”
“ซ่องสุมผู้คน แอบค้าอาวุธขอรับ”
“อืม....ถ้าเช่นนั้นคงมีคนเพียงผู้เดียวที่จะช่วยเราคลี่คลายปริศนานี้ได้”
หัวหน้าซิวมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของชิงเว่ยเว่ย จากนั้นพวกเขาก็รีบไปเข้าชั้นเรียน สายตาของเด็กกลุ่มฉีหลินคอยลอบสังเกตอาจารย์ไต้ไม่วางตา ระยะนี้เขาไม่ยิ้มสักนิด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขายังยิ้มมุมปากบ้างในบางครั้ง และพูดจา ร่าเริงกับอาจารย์จง หลังจากจดหมายฉบับนั้นมาถึงมือ ท่าทางของชายหนุ่มรูปงามก็เปลี่ยนไป เขาคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
“เจ้าว่า...อาจารย์กำลังหาเบาะแสเหมือนพวกเราใช่หรือไม่?”
“แน่นอน เพียงแต่พวกเราน่าจะเข้าใกล้ความจริงมากกว่า”
ซิวลู่ฉิงเอียงหน้ากดเสียงพูดให้ต่ำลง “เราไม่บอกอาจารย์ไต้สักหน่อยหรือ?”
“บ้าหรือไร? พูดไปยามนี้เขาต้องหาว่าพวกเราเป็นเด็กเพ้อเจ้อ มีแต่จะเรียกพวกเราไปตักเตือนในห้องพักอาจารย์เท่านั้น”
“แล้วเมื่อใดเราจึงจะบอกอาจารย์ได้?”
“เมื่อเรามีหลักฐานชัดเจนที่จะทำให้อาจารย์ยอมให้เราช่วยในการตามสืบเรื่องนี้”
ไต้เส้าจวินที่เดินไปถึงหลังห้อง พลันตั้งสติได้ เขาหันกลับมาเห็นเด็กหญิงสองคนที่นั่งหน้าสุดซุบซิบกันพอดี “ซิวลู่ฉิง! เจ้าน่าจะตั้งใจเรียนที่สุดในชั้นแล้วนะ เหตุใดวันนี้จึงชวนชิงเว่ยเว่ยคุยรบกวนผู้อื่น?”
คนทั้งชั้นหันมามองเด็กหญิงทั้งสองเป็นตาเดียว แม้จะไม่ได้เห็นหน้าอาจารย์แต่ชิงเว่ยเว่ยก็พอจะรู้ว่าเขากำลังหงุดหงิด
“อาจารย์ขอรับ! ข้าเองก็คุยเหมือนกัน” เฉียนกวนต๋าเด็กชายที่สุภาพเรียบร้อยที่นั่งอยู่หน้าสุดฝั่งขวาของกระดานรีบยกมือ
ซิวลู่ฉิงหันไปยิ้มพอใจที่มีคนสารภาพผิดช่วยนาง สหายที่นั่งกับคุณชายเฉียนกลับหน้าเผือดสีเพราะเกรงอาจารย์จะดุเอา
“เอาเถิด เฉียนกวนต๋า ข้าจะลงโทษพวกเจ้าเสมอภาคกัน”
หลังจากเลิกชั้นเรียน เด็กที่คุยกันในห้องเรียนต้องอยู่คัดกฎของสถาบันอันยาวเหยียดถึงยี่สิบจบ ชิงเว่ยเว่ยถอนหายใจอย่างอ่อนเพลีย
“เจ้าดูสิ! กฎระเบียบเป็นเล่มพวกนี้ ข้าอยากรู้นักว่าผู้ใดมาอ่านซ้ำบ้าง? ข้อห้ามยุบยิบเต็มไปหมด อย่าคิดจะได้แจกข้าแล้วอ้างว่าเป็นคู่มือเชียว ข้าไม่มีทางหยิบมาอ่านแน่” ซิวลู่ฉิงบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้ง
“มิใช่เจ้าหรอกหรือ? คนที่ชอบอ่านตำราที่สุดในชั้นเรียนของเรา” เสียงของเฉียนกวนต๋าลอยมาจากอีกฟาก
“ข้าชอบอ่านก็จริง ยกเว้นพวกกฎระเบียบหยุมหยิมพวกนี้” นางตวัดหางเสียงขึ้นอย่างไม่พอใจนัก
ชิงเว่ยเว่ยเห็นสหายทำตัวเบื่อหน่ายยิ่งกว่านางก็เอ่ยปลอบ “เจ้าอยากเป็นตุลาการหญิงมิใช่หรือ? หากว่ากฎระเบียบแค่นี้เจ้ายังจดจำไม่ได้ แล้วข้อกฎหมายมากมายเจ้าจะจำได้เยี่ยงไร?”
“อ๋า! เว่ยเว่ย เจ้าหลักแหลมนัก! จริงสินะ กฎโรงเรียนก็เหมือนกับกฎหมายใช้ควบคุมบังคับนักเรียน ในเมื่อข้าอยากเป็นตุลาการตัดสินโทษผู้อื่น เช่นนั้นต่อไปก็เริ่มจากการตัดสินโทษนักเรียนด้วยกันก่อนดีกว่า”
ชิงเว่ยเว่ยถึงกับชะงัก ซิวลู่ฉิงมีระบบความคิดอ่านปรับเปลี่ยนฉับไวเกินกว่าที่นางคาด “อย่างไรหรือ?”
“ข้าได้ยินว่าหากเราเรียนอยู่ชั้นสูงสุดก็จะสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นตุลาการนักเรียนได้”
“เจ้าก็เลย....” เฉียนกวนต๋าหันมามองเด็กหญิงตัวอ้วนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“ใช่! ข้าจะสมัครเป็นตุลาการนักเรียน”
“หึๆ ถ้าเจ้าสมัคร! ข้าก็จะสมัครด้วยเช่นกัน!”
“เอ๋?” เด็กหญิงสองคนส่งเสียงร้องฉงนฉงายออกมาพร้อมกัน
*************************************